Post#294:
ใครๆ ก็อยากเป็นผู้ชนะ แต่จะมีสักกี่คนที่จะเห็นและเข้าใจ ว่ากว่าจะได้เป็นผู้ชนะ ต้องผ่านความพ่ายแพ้มาแล้วไม่รู้เท่าไหร่
คนส่วนใหญ่มักมองไปที่ผลลัพธ์โดยไม่ได้สืบค้นที่มา เลยทำให้เข้าใจไม่ถ่องแท้ คิดและสรุปเอาเองว่า คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย มีชีวิตที่น่าอิจฉาและสวยงาม ทั้งที่จริงๆ แล้ว เบื้องหลังของผู้ชนะ ผ่านหยาดเหงื่อและน้ำตามามากต่อมาก
ผมคิดว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ดังนั้นความพ่ายแพ้หรือความล้มเหลวจึงเป็นเรื่องสามัญที่เกิดแก่มนุษย์ และในเมื่อทุกคนเคยพ่ายแพ้ แล้วอะไรล่ะ เป็นตัวทำให้คนที่เคยพ่ายแพ้และล้มเหลวกลับกลายมาเป็นผู้ชนะหรือคนที่ประสบความสำเร็จได้?
สารภาพว่า ผมเองก็ไม่เคยนึกถึงคำตอบของคำถามนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อวานไปอ่านเจอใน Page/ประโยคเด็ดหนังสือดัง โดย Page นั้น ให้เครดิตของคำตอบที่ผมจะเล่าต่อไป ว่ามาจากหนังสือ The Magic of Thinking แต่งโดย David J. Schwartz
แน่นอนว่าก่อนผมจะเล่าต่อ ก็ต้องขอให้ทุกท่านคิดก่อน แต่คราวนี้ เราลองมาคิดตามไปพร้อมๆ กันดูครับ...
ถ้าวันนั้นเราล้มเหลว แล้วคิดว่า เราเป็นไอ้ขี้แพ้ ความคิดนั้นจะเป็นตัวกำหนดการกระทำที่จะตามมาทั้งหมด เมื่อเราฝังใจว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ เราจะขาดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นสู้ ทำให้เราไม่มีพลังที่จะไปต่อ สุดท้ายพอเจออุปสรรคไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เราก็พร้อมจะยอมแพ้ได้ง่ายๆ ทุกครั้ง เพราะเราดันไปเชื่อ ว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้
แต่คนที่พ่ายแพ้ แล้วรู้จักเรียนรู้จากความพ่ายแพ้นั้น น้อมรับความผิดพลาด และตั้งใจว่าจะปรับปรุงและแก้ไข คราวหน้าเมื่อลงมือใหม่ โอกาสแห่งความพ่ายแพ้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ล้มเหลว ก็ทบทวนและปรับปรุงโดยไม่ย่อท้อหรือล้มเลิก ในที่สุดแล้ว จากผู้พ่ายแพ้ก็จะกลายเป็นผู้ชนะ
ผมมั่นใจว่าทุกคนรู้และเข้าใจ แต่การก้าวข้ามความพ่ายแพ้นั้นไม่ง่าย ทุกคนมีมุมมองและทัศนคติที่มีต่อความพ่ายแพ้ต่างๆ กัน ความรู้สึกหนักหนาหรือเบาบางที่มีต่อความพ่ายแพ้ก็ต่างกัน แต่อย่างที่เคยคุยกันไว้หลายต่อหลายครั้ง ปัญหาไม่ว่ามันจะเล็กหรือใหญ่ เราก็ต้องเข้าใจและฝ่าฟันมันไปให้ได้อยู่ดี
ย้อนกลับมาที่คำตอบของ David J. Schwartz...
คำตอบนั้นชัดเจนและเรียบง่าย ย่อมต้องเป็น "วิธีคิดที่เรามีต่อความพ่ายแพ้" นั้นๆ และคำคมนั้น ว่าไว้ว่า "วิธีการที่คุณคิดเมื่อคุณแพ้ จะกำหนดว่าอีกนานเท่าไหร่ คุณจึงจะชนะ"
ก่อนจากกันวันนี้ ผมฝากสิ่งที่ผมเรียนรู้จากคำคมดังกล่าว ให้ไปคิดต่อนะครับ "ความพ่ายแพ้น่ะ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่ความคิดและทัศนคติที่เรามีต่อความพ่ายแพ้ต่างหาก ที่จะเป็นตัวเปลี่ยนโลกของเราและของใครอีกหลายๆ คน" และแน่นอนยิ่งกว่าแน่นอน ว่าการที่เราจะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้หรือไม่ เป็น "ทางเลือก" ไม่ใช่ "ชะตากรรม"
Comments
Post a Comment