Skip to main content

Post#261: ปลูกฝังค่านิยมองค์กร

Post#261:
ยังคงอยู่ที่ประเด็นคำถามจาก Fanpage นะครับ คราวนี้ว่ากันถึงเรื่องการปลูกฝังเรื่องค่านิยมองค์กร

ออกตัวก่อนว่า ผมเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการสร้างค่านิยมองค์กร หรือการปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือพฤติกรรมองค์กร แต่ผมเชื่อว่า ทางที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อเราได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวเราจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีก่อน

แต่จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเหนื่อยใจมากๆ เรื่องหนึ่ง ว่าทำยังไงถึงจะสร้างให้ลูกน้องมีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร หรือทำยังไงถึงจะปรับเปลี่ยนความคิดของพวกเค้าได้

โดยมากแล้ว ความล้มเหลวในเรื่องค่านิยมองค์กร มักจะเกิดจากการทำงานที่ไม่ครบกระบวนการ เรียกว่า พอรณรงค์จบก็จบกัน พอนายใหญ่ทักท้วงที ก็เฮละโลกันไปทำที

เมื่อไม่เกิดความต่อเนื่อง ก็กลายเป็นจบแค่คิดและรณรงค์ ลูกน้องก็เลยแค่ท่องจำ แต่ไม่ทำตาม เรียกว่า "ไม่อิน" ว่างั้นเถอะครับ

เราในฐานะผู้นำ ต้องทำเป็นแบบอย่างให้ดูก่อนครับ ถ้าเราทำไม่ได้ ก็อย่าไปหวังว่าลูกน้องจะทำ เป็นต้นว่า เราจะปลูกฝังเรื่องการตรงต่อเวลา ถ้าตัวเราเองยังมาสาย จะไปด่าลูกน้องได้ยังไง

อย่าอ้างว่า ตัวเองไม่ต้องตอกบัตร (หรือสแกนนิ้ว) จะมากี่โมงก็ได้น่ะ มันผิดเจตนารมณ์ครับ ที่เค้ามักจะยกเว้นว่า นายๆ ทั้งหลายไม่ต้องลงเวลาทำงาน เพราะเค้าเชื่อว่า นายๆ ทั้งหลาย มีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบเพียงพอต่างหาก

ในมุมมองของผม การสร้างค่านิยมองค์กรที่ดีนั้น ควรเปิดโอกาสให้ลูกน้องมีส่วนช่วยร่วมคิด หรืออย่างน้อยให้เค้ามีส่วนในการนำเสนอกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับค่านิยมองค์กรได้ ก็จะดีครับ

หากจะวางขั้นตอนการปลูกฝังเรื่องค่านิยมนี้ ให้ง่ายขึ้น ก็คงเข้าสูตรเดียวกับที่ผมเคยนำมาแชร์แล้วครั้งหนึ่ง (Post#135) สั้นๆ จำไม่ยาก ก็คือ บอกให้ฟัง สอนให้จำ ทำให้ดู

ผมเองก็ยึดตามขั้นตอนนี้อยู่ ก็ลองดูนะครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...