Skip to main content

Post#288: เนื้อหาเดิม แต่วิธีเล่าเรื่องไม่เหมือนเดิม

Post#288:
บ่ายวานนี้ ผมนั่งประชุมกับอดีตลูกน้อง เพื่อช่วยวางแผนการตลาดของสินค้าใหม่ตัวหนึ่ง

เราถกกันหลายประเด็นมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย, คู่แข่ง, ช่องทางการขาย, design ของ packaging, ชื่อสินค้า, การตั้งราคา, แผนการส่งเสริมการขายช่วงเปิดตัว, ฯลฯ

แต่ประเด็นที่คุยกันนานมากเป็นพิเศษ เป็นเรื่องของการทำ Marketing Communication หรือการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย ว่าทำยังไงสินค้าจึงจะมีความแตกต่างได้ในมุมมองของลูกค้า เพราะงบในการสื่อสารมีค่อนข้างจำกัด

ตอนหนึ่งของการสนทนา เราคุยกันเรื่องของ story telling ว่าเราควรจะบอกอะไรกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นการถกและวิเคราะห์ว่าคู่แข่งเล่าเรื่องอะไร แล้วเราจะเล่ายังไงให้ต่างจากคู่แข่ง?

ประเด็นที่ผมอยากชวนคุย อยู่ตรงนี้แหละครับ เราจะเล่าเรื่องอย่างไรให้แตกต่าง?

ผมยกตัวอย่างให้น้องฟังว่า เราฟังเพลงกันมาเยอะ โดยเฉพาะเพลงที่ว่าด้วยเรื่องของความรัก ผมว่า ไม่มีความรักในแง่มุมไหนที่ยังไม่ปรากฏในบทเพลง แต่ทำไมเรายังมีเพลงใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับความรักให้เราฟังอย่างไม่ขาดตอน

นั่นแปลว่า เนื้อหา ที่นำมาเล่า ไม่ได้เป็นเนื้อหาใหม่ แต่วิธีการเล่าเนื้อหาต่างหาก ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เราอินไปกับเนื้อหานั้นๆ บางเพลงมีวิธีเล่าเรื่องที่กินใจ เรียกน้ำตาเราได้ง่ายๆ ในขณะที่บางเพลงหยิบเนื้อหานั้น ไปแปลงวิธีการเล่าเรื่องใหม่ เราฟังแล้วกลับรู้สึกว่า ก็งั้นๆ

สินค้าที่เรากำลังจะเปิดตัว ก็ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่ที่ไม่เคยมีในโลก เป็นสินค้าที่พบเห็นอยู่แล้ว ดังนั้น จะบอกเล่าเรื่องราวของสินค้าของเราอย่างไร คือจุดตัดสินชี้ขาด ถ้าเรื่องที่เราเล่า โดนใจตรงจริตของลูกค้า เราก็มีโอกาสสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดให้ชัด ว่าใครคือกลุ่มลูกค้า และต้องรู้ให้แน่ ว่าใครเป็นคู่แข่ง เพราะถ้ากำหนดเป้าหมายผิด ทุกอย่างที่ตามมา ก็กลายเป็น "สูญ" แปลว่า เหนื่อยเปล่าครับ

ว่าแล้ว ผมก็ยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่า เปรียบเสมือนเรากำลังจะจีบใครซักคนนึง ภาพในหัวต้องชัดมาก ว่าเราจะจีบใคร ไม่ใช่นึกไม่ออกเลย ใครก็ได้ ชิ

เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ก็รอไปเถอะ ไม่มีทางหาคู่ควงได้ เพราะมันแปลงความต้องการอยากมีแฟน ให้เป็นแผนจีบไม่ได้

เอาล่ะ เมื่อมองเห็นแล้ว ว่าจะจีบใคร ก็ต้องประเมินว่า เรามีโอกาสรึเปล่า ถ้าประเมินแล้ว ว่าวรรณะต่างกัน 12 ชั่วโคตร ก็ยากหน่อย แต่ถ้าประเมินแล้วพอลุ้น ก็เดินหน้าต่อ

แล้วก็ต้องวิเคราะห์ต่อไปว่า คนที่เรากำลังจีบอยู่นั้น มีใครกำลังแย่งเราจีบ หรือเราไปแย่งใครเค้าจีบอยู่บ้าง ถ้ามีคนจีบหลายคน เราต้องมองให้ออก ว่าเราจะเลือกแข่งกับคนไหน อย่าบอกว่าจะแข่งกับทุกคน เพราะนั่นก็ใช่ แต่จะเลือกบู๊กะใครก่อนน่ะ สำคัญมาก เช่นดูแล้ว นอกจากเรา คนที่มีภาษีดีที่สุด คือหนุ่มที่รูปหล่อ พ่อรวย เราต้องรู้ว่า จะเอาชนะหนุ่มคนนี้ยังไง หรือถ้าเลือกที่จะไม่ชนกับเบอร์หนึ่ง เราจะรบกับเบอร์อื่นๆ ยังไง เธอถึงจะหันมาชายตาแลเราได้


แต่ประเภท "ไม้ขีดไฟกับดอกทานตะวัน" น่ะ (ขออภัยครับ เพลงเรโทร อีกละ ^^) ใช้กับการทำธุรกิจไม่ได้นะครับ T_T

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...