Skip to main content

Post#284: สำนึกในหน้าที่

Post#284:

เรื่องความไม่เข้าใจหรือสำนึกในหน้าที่นี่ เป็นเรื่องที่เราพบบ่อยมากในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นได้กับทุกสาขาอาชีพ แต่ที่ผมพบบ่อยก็คือ "มนุษย์เงินเดือน"


ลองคิดดูนิดนึงมั๊ยครับ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ใช้เวลาซัก 5 นาทีก็คงพอ


...


จากการวิเคราะห์ของผม ผมว่า เป็นเพราะ "มนุษย์เงินเดือน" ขาดแรงผลักดัน สิ้นเดือนยังไงก็ได้เงินแน่นอน จะพยายามให้มากไปทำไม?


ผมไม่ได้บอกว่า "มนุษย์เงินเดือน" ทุกคน จะเป็นแบบนี้ แต่บางส่วน (ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากหรือส่วนน้อย ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่แต่ละท่าน พบเจอมานะครับ) มักจะทำงานแบบ "เช้าชาม เย็นชาม" คือสักแต่ว่ามาอยู่ที่ทำงาน แต่ไม่ได้สร้างผลงานที่จับต้องได้ มาสาย กลับเร็ว แว่บไปซื้อของ หลบไปสูบบุหรี่ นั่งผลาญเวลา ทำงานเมื่อถึงกำหนดส่ง วางแผนไม่เป็น ฯลฯ เรียกว่าเบียดบังบริษัทฯ ได้ เป็นไม่ละโอกาส


พวกนี้ จะชอบด่าบริษัทฯ ตัวเองเป็นหลัก แต่ไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรให้บริษัทฯ ดีขึ้น (หรือที่โบราณเรียกว่า "พวกมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ" นั่นแหละครับ) แต่แปลกที่พวกนี้มักไม่ค่อยรู้ตัว มักจะคิดว่า ตัวเองทำงานดีแล้ว เต็มที่แล้ว และไม่เคยเข้าใจว่า ต้อง give ก่อนจะ take น่ะ เป็นยังไง


และก็แปลก ที่ถึงเวลาสิ้นปี พวกนี้จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่จะโวยวาย เมื่อไม่ได้รับการปรับเงินเดือน หรือไม่ได้โบนัส ทั้งๆ ที่ผลการประเมินก็บ่งว่า พวกเค้าไม่สมควรมีงานทำด้วยซ้ำ


พวกนี้ไม่เคยเข้าใจหรือรับรู้ ว่าถ้าบริษัทไปไม่รอด ตัวเองก็จะตกงาน มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาจะเรียกร้อง นั่น นู่น นี่ จนเมื่อเห็นว่า บริษัทจะไปไม่รอด ก็จะชิงสละเรือไปก่อน พวกเค้ามักจะถามคำถามว่า บริษัทจะให้อะไรกับเค้าบ้าง ก่อนจะบอกว่า เค้าได้ทำอะไรหรือคิดจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อบริษัทบ้าง


ทุกครั้งที่ผมเจอคนประเภทนี้ นอกจากความเศร้าใจแล้ว ผมก็ได้แต่สงสัย ว่า "สำนึก" แห่งความรับผิดชอบของพวกเค้าอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ เค้าจะคิดเป็นบ้างมั๊ย ว่ากำลังเอาเปรียบคนที่จ่ายค่าตอบแทนเลี้ยงชีพเค้าอยู่ทุกๆ เดือน เค้าจะรู้สึกบ้างมั๊ย ว่าเค้าแค่อยู่ไปวันๆ โดยไม่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ให้กับบริษัทและเพื่อนร่วมงาน และเค้าจะเข้าใจบ้างมั๊ย ว่ากำลังผลักตัวเองไปสู่ความเสื่อมแห่งเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง


ขออภัยถ้าวันนี้ผมจะออกแนวรุนแรงไปบ้าง แต่ขอไม่เผาผีกับใครก็ตามที่มีพฤติกรรมแบบนี้ครับ ชิ

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...