Skip to main content

Post#259: คำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ

Post#259:
หนึ่งในแรงใจแรงเชียร์ที่ทำให้ผมมีแรงโพสต์ได้ไม่รู้เบื่อ ย่อมต้องเกิดจาก Fanpage

และหนึ่งใน Fanpage แรกๆ ของผม ก็มีพี่ปราณี นี่แหละครับ เป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญ (ขออภัยที่ต้องเอ่ยนามครับ ที่ไม่ใช้นามแฝง เพราะพี่ปราณีถามคำถามใน Comment ไม่ใช่ Inbox) และคราวนี้ก็ยังกรุณาเปิดประเด็นคำถามที่น่าสนใจมาอีก

ผมก็ถือโอกาสใช้พื้นที่นี้ ขอบคุณพี่ปราและ Fanpage ทุกท่านด้วยนะครับ

คราวนี้มาถึงคำถามครับ...พี่ปราถามมาเรียบง่ายมาก แต่ผมบอกได้เลยครับ ว่าวันนี้โพสต์จะยาวมากๆ

พี่ปราณี 'ment ว่า "พี่ขอแถมนิดค่ะว่า "คำถาม" ในการให้ได้มาซึ่ง "คำตอบ" นะสำคัญมาก และอยากให้บอยเขียนเรื่องนี้เป็นวิทยาทานด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ "

ความเป็นจริงในชีวิตนั้น "คำตอบ" เป็นสิ่งที่เราต้องขวนขวยหาอยู่แทบทุกวัน บางคำตอบก็ได้มาไม่ยากนัก แต่บางคำตอบหาชั่วชีวิตก็ไม่เจอ

ประเด็นที่พี่ปราเปิดมานั้น แฝงนัยชวนคิดอยู่มาก และกระตุ้นให้คนที่อยากได้คำตอบ ไม่ยอมแพ้ที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้นๆ

ก่อนที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบ ผมประเมินเองว่า ผู้ถามจะต้องประเมินหลายอย่าง เราลองมาไล่กันดูครับ

1.ถามเพื่ออะไร
2.ใครตอบและตอบใคร
3.จะวางแนวทางในการถามยังไง
4.สรุปคำตอบ

อ่านแล้วดูเหมือนผมจะกวนๆ แต่เปล่าเลยครับ ลองมาอ่านคำขยายความกันต่ออีกนิ

ข้อแรก เราถามเพื่ออะไร? บางครั้งเราก็ถามไปงั้นๆ บ้างก็ถามเพื่อให้เค้ากลับไปคิดต่อ บ้างก็ถามแบบชวนคุย บ้างก็ถามเพื่อสืบค้น

การที่ต้องรู้แน่ๆ ว่าถามไปเพื่ออะไรนี่สำคัญมาก เพราะจะเป็นข้อที่กำหนดแนวทางในการถาม

ข้อสอง ใครตอบและตอบใคร? ข้อนี้ก็คือการวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมว่าเอื้อต่อการได้มาซึ่งคำตอบรึเปล่า ถ้าเราถือไพ่เหนือกว่า การถามก็ง่าย แต่ถ้าไม่รู้ไพ่ในมือของผู้ตอบ อันนี้แนวทางในการถามคำถามจะซับซ้อนมากขึ้น

นอกจากนี้ การที่เรารู้นิสัยใจคอของผู้ตอบ ก็สำคัญ เพราะจะช่วยให้เราเลือกใช้สไตล์การถาม, น้ำเสียง, ท่าทาง, ฯลฯ (หรือที่เราเรียกรวมๆ ว่า Mood & Tone (มู้ดแอนด์โทน) นั่นแหละครับ) ได้ถูกจริตผู้ตอบ

ข้อสาม จะวางแนวทางในการถามคำถามยังไง? ถ้ารู้ชัดในข้อแรกและข้อสอง เราจะกำหนดแนวทางในการถามได้ชัดเจน

อย่ากังวลครับ ขั้นตอนตั้งแต่ข้อแรกถึงข้อสามนี่ บางครั้งเกิดขึ้นอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยที่เราอาจไม่ทันรู้ตัวก็ได้

กระบวนการประมวลข้อมูลเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสามนั้น จะเร็วหรือช้าเพียงใด ขึ้นอยู่กับความชัดของข้อแรก และปริมาณข้อมูลของข้อสอง

บางครั้ง เราอาจต้องถามคำถาม A เพื่อให้ได้คำตอบ X และอาจต้องถามคำถาม B และ C เพื่อให้ได้คำตอบ Y, Z จากนั้น จึงนำคำตอบย่อยๆ ไปสร้างสมการคำตอบอีกทีนึง

ตัวอย่างที่พวกเราคุ้นชินกับสถานการณ์ที่ว่า ก็เช่นเวลาเราทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาทั้งหลาย เพราะบางครั้งถามตรงๆ ไม่ได้ ต้องยอมอ้อมนิดนึง รวมไปถึงการถามหลายๆ คำถาม เพื่อเช็คว่า คำตอบที่ได้มีความ valid (คือเช็คว่า "เสถียร" หรือไม่นั่นเอง)

คราวนี้มาถึง ข้อสี่ สรุปคำตอบ ก็ตามนั้นครับ ประเมินว่า คำตอบที่ได้มา ตอบคำถามครบถ้วนรึเปล่า ถ้ารู้ว่าอยากได้คำตอบอะไรชัดจริงๆ ข้อนี้ก็จะสรุปได้ไม่ยาก

พึงระวังครับ บางครั้งกระบวนการจากข้อแรกถึงข้อสาม อาจจะกินเวลาแป๊บเดียว แต่เราอาจจะต้องรอคำตอบข้ามวันข้ามคืนก็ได้ เช่น ถามคำถามลูกน้องไป ทุกอย่างเราชัดนะ แต่ลูกน้องต้องกลับไปทำการบ้านเพื่อค้นหาคำตอบ แบบนี้ก็มี

หรือบางที เราก็อาจจะไปเจอพวกตอบคำถามด้วยการไม่ตอบ เราก็ต้องประเมินด้วยเหมือนกัน ว่านั่นเป็นคำตอบรึเปล่า หรือมีแม้กระทั่ง ปากตอบอย่าง ท่าทางตอบอีกอย่าง ก็มี แปลว่า ฟังคำตอบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอ่านอวัจนภาษาประกอบด้วย

บางคนก็ชอบตอบคำถามด้วยคำถาม (เหมือนผมเป็นต้น) ซึ่งบางครั้ง การตอบคำถามด้วยคำถาม เป็นเรื่องจำเป็น เพราะมักจะช่วยให้ผู้ตอบเข้าใจเจตนาของคำถามและค้นหาคำตอบที่ตรงประเด็นได้มากขึ้น

อย่างที่คุยกันบ่อยๆ ถ้ารู้เป้าหมายชัด มองปัจจัยแวดล้อมออก การจะไปให้ถึงปลายทางก็ไม่ยากนั

สำหรับผมแล้ว การถามคำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ก็คงไม่ต่างจากการเดินทางด้วยรถยนต์...

ถ้าเรารู้ชัดว่าจะไปลาดพร้าว ขับๆ ไปแล้วเจอรถติด เราก็เลี้ยวเลาะเข้าซอยเล็กออกซอยลัด สุดท้ายก็จะไปถึงลาดพร้าวได้

ดังนั้น ถ้ารู้ชัดว่า อยากจะได้คำตอบอะไร การถามคำถามจึงไม่ต่างจากการเดินทาง เพียงแต่เป็นการเดินทางที่เราอาจจะต้องวิเคราะห์และประเมินไปตลอดทางเท่านั้นเอง

ซึ่งการเดินทางแบบนี้ ก็อาจจะมีหลงๆ บ้าง แต่เมื่อไหร่ที่นึกออกว่า ตั้งธงข้อแรกไว้ตรงไหน เราก็จะกลับมาอยู่ในเส้นทางของการถามที่ถูกได้ทุกครั้ง

ย้อนกลับไปที่คำถามของพี่ปรากันอีกที "คำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบน่ะ สำคัญมาก" จริงมั๊ยครับ ^^

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...