Skip to main content

Post#4-088: ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ

Post#4-088:
เอาจริงๆ ผมไม่รู้เลยว่า ประชากรส่วนใหญ่บนโลกนี้ มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอยู่กี่ % กันแน่

ประเมินเอาเอง...ก็เดาเอาว่า แม้จะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะเป็นส่วนใหญ่ของโลก

สรุปมั่วๆ หน่อย...ว่าทุกวันนี้ เราต่างก็ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่าง...มั๊งครับ?

...

ไม่รู้จะปรัชญาไปหน่อยมั๊ย...แต่ผมคิดว่า การที่เราต่างก็มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ นั่นแหละคือ ความสมบูรณ์แบบ

ก็เพราะแต่ละคนในครอบครัวของเรา ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจเรา และเราเองก็ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจเค้าแบบ 100% เช่นกัน

นั่นไง...ที่ทำให้เราต่างก็มีโอกาสปรับตัวเข้าหากันและกัน, ได้เรียนรู้ที่จะลดหรือเพิ่ม เพื่อให้ตัวเราและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ตามสมควร

ถ้าเราเข้าใจว่า เราไม่อาจจะเป็นดั่งใจใครในครอบครัวได้ 100%...ก็แล้วทำไมถึงจะอยากให้คนอื่นในครอบครัวเป็นอย่างใจเรา 100% ให้ได้?

...

สำหรับผมแล้ว...ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอาจไม่มีอยู่จริงในโลก

แต่ครอบครัวที่ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกันต่างหาก...ที่ไม่ว่าใครก็ตาม ก็อาจจะมีโอกาส "มี" ได้

มันก็อยู่ที่ว่า เราเลือกมองส่วนที่เรา "ไม่ชอบ" ของคนในครอบครัว มากกว่าเลือกที่จะมองส่วนที่เรา "ชอบ" รึเปล่า?

...

ความสมบูรณ์แบบ จึงอาจไม่ใช่การมองหาใครที่เหมือนเรา 100%...ตรงกันข้าม ความสมบูรณ์แบบนั้น ควรจะเกิดจาก การผสานส่วนต่างให้เข้ากันอย่างลงตัว มากกว่า

ลองคิดดูสิครับ ว่าถ้าพ่อ, แม่, ลูก หรือคู่ชีวิตของเรา ดันเหมือนเรา 100% แล้ว...มันจะยุ่งแค่ไหน?

เพราะนั่นแปลว่า พวกเค้าเหมือนเรา โดยรวมเอาด้านมืดของเราเข้าไปด้วย...และเมื่อเราเรียกมันว่า "ด้านมืด" มันก็คือด้านที่เราไม่ชอบใจ

ก็แล้วถ้าด้านที่เราไม่ชอบใจ ดันไปอยู่ในตัวของคนในครอบครัวที่เรารัก...คิดดูเองว่า เราจะมีความสุขใช่มั๊ย?

...

เราจึงควรยอมรับในความต่าง และเลือกมองในส่วนดี...ความสมบูรณ์แบบจึงจะเริ่มก่อร่างจากความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านั้น

พ่อ-แม่ ไม่ตามใจ ไม่ได้แปลว่าไม่รัก, ลูกไม่ได้ดั่งใจ ก็ไม่ได้แปลว่า เค้าจะไม่เชื่อฟัง, สามีขัดใจหรือภรรยาขี้งอน ไม่ได้แปลว่า เค้าหมดรัก

...เพราะเราไม่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกคน...นั่นแหละเหตุผลที่ว่า ทำไมครอบครัวที่ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของเรา จึงเป็นความพิเศษ...

#ลิ้นกับฟัน #ขัดใจไม่ใช่ไม่รัก #ดื้อไปหน่อยก็เอาน่า #ง้อแล้วก็ยอมหน่อย #แบกโกรธไว้มันดีใช่มั๊ย

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...