Post#4-096:
ผมนัดกับลูกสาวไว้ล่วงหน้านานแล้ว ว่าจะพาไปสวนสัตว์ในตำนานแห่งสยามประเทศ...
ก็ "เขาดิน" นั่นล่ะครับ
จำไม่ได้จริงๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมไปเขาดินน่ะ มันเมื่อไหร่กันแน่...แต่คาดว่า คงไม่ต่ำกว่า 15-16 ปี มาแล้ว
ลูกสาวผมตื่นเต้นมากที่จะได้ไป...ส่วนผมก็แอบวาดฝันไว้มาก เพราะคาดเดาว่า "เขาดิน" วันนี้ คงจะดีกว่าสิบกว่าปีที่แล้วแบบผิดหูผิดตา
...
แต่หลังจากดูกรงสัตว์แรกแล้ว...ความรู้สึกแรกของผมก็คือ "ผิดคาดอย่างแรง" และ "อยากกลับบ้าน"
ไม่ว่าจะสภาพกรงและความเป็นอยู่ของพวกมัน หรือการจัดระเบียบการเข้าชมสัตว์...ผมคิดว่า คงไม่มากเกินไปที่จะบอกว่า เราน่าจะติดอันดับ "ดีน้อยที่สุด" ของโลก
แข็งใจปั้นหน้ายิ้มและจูงลูกสาวเดินต่อไปอีกกว่าชั่วโมง...แต่ก็พบว่า แทบทุกกรงก็ไม่ต่างกัน คืออยู่ในขั้นแย่ถึงแย่มาก
พอผมกำลังจะหันไปขอโทษลูกสาว ที่อาจทำให้การมาเยือนสวนสัตว์ไม่น่าอภิรมย์อย่างที่คิด...ก็กลายเป็นลูกสาวพูดสวนกลับมาว่า
"It is fun here, Daddy! I see a lot of wild lives. It is great to be here!" (แปลว่า "ที่นี่สนุกดีค่ะพ่อ! หนูเห็นสัตว์ป่าตั้งหลายชนิดแน่ะ ดีจังที่ได้มาที่นี่!)
ทันทีที่ได้ยินลูกสาวพูดจบ...ผมรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่น พร้อมๆ กับได้ "ดวงตาเห็นธรรม" สำหรับธรรมะบางข้อ
...
จริงสิ...ผมพาลูกสาวมาที่นี่เพื่อที่จะดู "สัตว์"...แต่แล้วทำไมกันหนอ ผมกลับเอาใจไปจับกับ "สิ่งปลูกสร้าง" และ "ความไร้ระเบียบของผู้คน"
ทำไมไม่รื่นรมย์กับความสุขของลูก? ทำไมไม่สนุกสนานไปกับดวงตาที่ตื่นตาตื่นใจของเธอ? และทำไมไม่เอาใจไปใส่กับคำถามใคร่รู้เรื่องสัตว์ต่างๆ ที่เธอถาม?
ทำไมผมเลือกมองและเอาใจไปจับแต่สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดความน่าอภิรมย์? ทำไมไปขุ่นมัวกับสถานที่?
...
บ่อยครั้งที่ชีวิตของเราก็เป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น...ก็คงเพราะเราดันมองโลกในด้านลบ...ทั้งๆ ที่ตัวเราเองก็เลือกได้ ว่าจะมองโลกในด้านไหน?
ลูกสาวผมกับผม มองสัตว์ตัวเดียวกันผ่านซี่ลูกกรง...ทำไมลูกสาวผมมองเห็นสัตว์ แต่ผมมองเห็นแต่ซี่ลูกกรง ไม่ทะลุไปถึงสัตว์?
...สองคนยลตามช่อง / คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม / คนหนึ่งตาแหลมคม / มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว...
#คงไม่ต้องบอกว่ามองแบบไหนถูก #ใจคิดอะไรตาก็เห็นแบบนั้น #ทุกข์สุขจึงเริ่มที่ใจ #ขอบคุณลูกสาวที่ดึงสติพ่อ
ผมนัดกับลูกสาวไว้ล่วงหน้านานแล้ว ว่าจะพาไปสวนสัตว์ในตำนานแห่งสยามประเทศ...
ก็ "เขาดิน" นั่นล่ะครับ
จำไม่ได้จริงๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมไปเขาดินน่ะ มันเมื่อไหร่กันแน่...แต่คาดว่า คงไม่ต่ำกว่า 15-16 ปี มาแล้ว
ลูกสาวผมตื่นเต้นมากที่จะได้ไป...ส่วนผมก็แอบวาดฝันไว้มาก เพราะคาดเดาว่า "เขาดิน" วันนี้ คงจะดีกว่าสิบกว่าปีที่แล้วแบบผิดหูผิดตา
...
แต่หลังจากดูกรงสัตว์แรกแล้ว...ความรู้สึกแรกของผมก็คือ "ผิดคาดอย่างแรง" และ "อยากกลับบ้าน"
ไม่ว่าจะสภาพกรงและความเป็นอยู่ของพวกมัน หรือการจัดระเบียบการเข้าชมสัตว์...ผมคิดว่า คงไม่มากเกินไปที่จะบอกว่า เราน่าจะติดอันดับ "ดีน้อยที่สุด" ของโลก
แข็งใจปั้นหน้ายิ้มและจูงลูกสาวเดินต่อไปอีกกว่าชั่วโมง...แต่ก็พบว่า แทบทุกกรงก็ไม่ต่างกัน คืออยู่ในขั้นแย่ถึงแย่มาก
พอผมกำลังจะหันไปขอโทษลูกสาว ที่อาจทำให้การมาเยือนสวนสัตว์ไม่น่าอภิรมย์อย่างที่คิด...ก็กลายเป็นลูกสาวพูดสวนกลับมาว่า
"It is fun here, Daddy! I see a lot of wild lives. It is great to be here!" (แปลว่า "ที่นี่สนุกดีค่ะพ่อ! หนูเห็นสัตว์ป่าตั้งหลายชนิดแน่ะ ดีจังที่ได้มาที่นี่!)
ทันทีที่ได้ยินลูกสาวพูดจบ...ผมรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่น พร้อมๆ กับได้ "ดวงตาเห็นธรรม" สำหรับธรรมะบางข้อ
...
จริงสิ...ผมพาลูกสาวมาที่นี่เพื่อที่จะดู "สัตว์"...แต่แล้วทำไมกันหนอ ผมกลับเอาใจไปจับกับ "สิ่งปลูกสร้าง" และ "ความไร้ระเบียบของผู้คน"
ทำไมไม่รื่นรมย์กับความสุขของลูก? ทำไมไม่สนุกสนานไปกับดวงตาที่ตื่นตาตื่นใจของเธอ? และทำไมไม่เอาใจไปใส่กับคำถามใคร่รู้เรื่องสัตว์ต่างๆ ที่เธอถาม?
ทำไมผมเลือกมองและเอาใจไปจับแต่สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดความน่าอภิรมย์? ทำไมไปขุ่นมัวกับสถานที่?
...
บ่อยครั้งที่ชีวิตของเราก็เป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น...ก็คงเพราะเราดันมองโลกในด้านลบ...ทั้งๆ ที่ตัวเราเองก็เลือกได้ ว่าจะมองโลกในด้านไหน?
ลูกสาวผมกับผม มองสัตว์ตัวเดียวกันผ่านซี่ลูกกรง...ทำไมลูกสาวผมมองเห็นสัตว์ แต่ผมมองเห็นแต่ซี่ลูกกรง ไม่ทะลุไปถึงสัตว์?
...สองคนยลตามช่อง / คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม / คนหนึ่งตาแหลมคม / มองเห็นดาวอยู่พราวแพรว...
#คงไม่ต้องบอกว่ามองแบบไหนถูก #ใจคิดอะไรตาก็เห็นแบบนั้น #ทุกข์สุขจึงเริ่มที่ใจ #ขอบคุณลูกสาวที่ดึงสติพ่อ
Comments
Post a Comment