Skip to main content

Post#4-097: สมดุลย์ชีวิต

Post#4-097:
เที่ยงนี้ ผมมีนัดทานข้าวกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยมีโอกาสทำงานร่วมกัน

เราคุยกันหลายเรื่อง...แต่เรื่องหนึ่งที่คุยกันแล้ว สะกิดให้คิดต่อได้อีกมาก ก็คือเรื่องสมดุลย์ระหว่างงานและส่วนตัว

เพื่อนผมสรุปไว้ประมาณว่า จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราต้องทำแต่งาน จนไม่มีเวลาใช้ชีวิต?

...

เห็นด้วยมั๊ยครับว่า...เรามีชีวิตที่ลำบากในวันธรรมดา เพื่อที่จะมีชีวิตที่มีความสุขและผ่อนคลายในวันหยุด

ถ้าเชื่อตามที่ผมว่า ก็แปลว่า วันทำงานก็ควรจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพื่อที่วันหยุดจะได้พักผ่อนให้เต็มที่เช่นกัน...จะอยู่กับตัวเองหรืออยู่กับครอบครัว ก็ว่ากันไป

แต่ถ้าใครไม่จริงจังกับงาน ทำไปเล่นไป งานไม่เสร็จ ก็มีโอกาสที่วันหยุดก็จะต้องรับสายจากนายหรือลูกค้า เพราะเราจัดการงานไว้ไม่เรียบร้อย

ดังนั้น ถ้าอยากใช้ชีวิตวันหยุดอย่างสมบูรณ์ เราจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตในวันทำงานให้สมบูรณ์ยิ่งกว่า

...

จะใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสุข จึงต้องเริ่มจากการทำงานให้เต็มที่เสียก่อน...เมื่อชีวิตการงานมั่นคง ย่อมส่งผลให้ชีวิตส่วนตัวมั่นคงไปด้วย

เพราะถ้าเราไม่มีงาน...ย่อมหมายถึง เราอาจจะไม่มีเงิน และเมื่อเราไม่มีเงิน ก็ย่อมหมายถึง เราอาจจะไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตส่วนตัวได้อย่างเต็มที่

แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ชีวิตไม่ได้มีแต่งานและงาน ไม่ใช่มุ่งจะเก็บสะสมแต่เงินทอง...จนลืมที่จะใช้ชีวิตส่วนตัว และลืมที่จะใช้เงินซื้อความสุขให้ตัวเองและครอบครัวบ้าง

...

ลองถามตัวเองดูครับ ว่าทำไมเราต้องกินข้าว 3 มื้อ ไม่รวบไปกินมื้อเดียวตอนค่ำเลย?

ความสุขก็ไม่ต่างจากการกินข้าวนั่นเลย...

เพราะมันทำให้เรามีแรงก้าวไปข้างหน้า, เพราะมันเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป...ทำให้เราอยากลืมตาตื่นขึ้นในวันรุ่งพรุ่งนี้

...

ดังนั้น ก็จงสร้างสมดุลย์ระหว่างงานกับส่วนตัวให้ดีครับ

มัวแต่เที่ยวไม่ทำงานเลยก็ไม่ดี มัวทำแต่งานไม่มีชีวิตส่วนตัวเลยก็ไม่ใช่

...จริงจังสลับผ่อนคลาย, ทำงานคั่นด้วยพักผ่อน, หาเงินเพื่อใช้เงิน...นี่แหละหนา ชีวิตที่สมดุลย์แท้...

#WorkLifeBalance #ชีวิตไม่ใช้ไม่ใช่ชีวิต #ชีวิตรื่นรมย์  #หาสัดส่วนทองคำให้เจอ #ความสุขไม่ต้องรอแค่แบ่งเวลาให้เป็น

Comments

Popular posts from this blog

Post#355: ทำได้ vs ทำเป็น

Post#355: ส่วนใหญ่แล้ว เรามักแยกแยะไม่ค่อยถูกว่า ระหว่าง "ทำได้" กับ "ทำเป็น" น่ะคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน "ทำได้" แปลว่า ทำได้ ขอให้แค่เสร็จๆ ไป ไม่ต้องสนใจว่างานออกมาดีมั๊ย ส่วน "ทำเป็น" แปลว่า ไม่ใช่แค่สักแต่ลงมือทำ แต่ต้องทำให้ได้ดีด้วย ถ้ายังงงๆ ผมจะยกตัวอย่างเพิ่มให้นะครับ คนที่ขับรถได้ มีความสามารถในการทำให้รถเคลื่อนที่ไปได้ แต่อาจจะเป็นพวกที่ขับรถแบบไร้มารยาท, ขับรถอันตราย หรือขับรถเห็นแก่ตัว, ฯลฯ ส่วนคนที่ขับรถเป็นนั้น นอกจากสามารถบังคับให้รถเคลื่อนที่ได้แล้ว ยังใส่ใจคนที่ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ด้วย เรียกว่าขับรถอย่างมีคุณภาพและคุณธรรม ^^ ตีกอล์ฟได้ก็คือเหวี่ยงไม้ให้ลูกกอล์ฟไปข้างหน้า แต่ตีกอล์ฟเป็น นอกจากเหวี่ยงไม้ให้ลูกไปข้างหน้าแล้ว ยังต้องใส่ใจคนที่เล่นกอล์ฟอยู่รอบๆ ทั้งก๊วนเรา ทั้งต่างก๊วนด้วย พอเห็นความต่างชัดขึ้นมั๊ยครับ? ขับรถได้จึงต่างจากขับรถเป็น, เล่นกอล์ฟได้จึงต่างจากเล่นกอล์ฟเป็น ฉะนี้ ดังนั้น "ทำงานได้ " กับ "ทำงานเป็น" นั้น คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกันแน่ๆ เอ...หรือว่าผมก็แค่ "โพสต์ได้...

Post#2-227: Corrective Action vs Preventive Action

Post#2-227: วันนี้ผมมีโอกาสดีได้เข้าร่วมประชุมกับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่ง หลักใหญ่ใจความสำคัญของการประชุมก็คือการติดตามยอดขายของสินค้าสำคัญบางรายการ ซึ่งขายช้ากว่าปกติ ภาพหนึ่งที่สามารถใช้ประเมินความแข็งแกร่งขององค์กร ก็มักจะถูกสะท้อนผ่านการประชุมไล่ยอดขายนี่แหละครับ เพราะยอดขายถือเป็นเป้าหมายสุดท้ายขององค์กรที่แสวงหาผลกำไรทั้งปวง เมื่อไล่ยอดขายครั้งใด ก็มักจะพบสาเหตุของปัญหา และจะสามารถประเมินระดับขององค์กรและผู้บริหารได้จากวิธีการ response ต่อปัญหาที่พบ บางองค์กรเก่งในการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บางครั้งกลับไม่ได้มองไปถึงการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และมีอีกหลายองค์กรที่ชวนคุยเรื่องการวางแผนป้องกันไฟไหม้ แทนที่จะหาวิธีดับไฟที่กำลังไหม้องค์กรอยู่ บ่อยครั้งที่การไม่ลำดับความสำคัญก่อนหลังในการแก้ปัญหา มักจะส่งผลเสียมากกว่าที่จะประเมินได้ ดังนั้น ทุกคนในองค์กรจึงต้องจัดการกับไฟที่ไหม้อยู่ตรงหน้า ก่อนที่จะมาวางแผนป้องกันไฟไหม้ ซึ่งปีก่อนผมก็พูดถึงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว (Post#224) และแน่นอนว่า ไม่ใช่เก่งแต่การดับไฟตะพึดตะพือ หากต้องวางแผนป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ซ้ำๆ ซากๆ ด้วย หาไ...

Post#5-114: เพื่อนแท้ดีๆ คือเพื่อนดีแท้ๆ

Post#5-114: ค่ำนี้ ผมมีโอกาสได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เคยทำงานร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน อยู่พักใหญ่ๆ เอาจริงๆ ผมตกเป็นหนี้เพื่อนคนนี้ไม่น้อย ... เพราะเค้าคือคนที่ถ่ายทอดวิชาหลากหลายที่ผมนำมาใช้ต่อยอดในการบริหารงาน จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเจอกันไม่บ่อย ... แต่ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน ผมก็มักจะได้ idea ที่ดีๆ จากเพื่อนคนนี้ ไปต่อฝันปั้นงาน ได้ทุกที ... เอาจริงๆ เวลาได้ idea ใหม่ๆ ไม่ว่าจะสำหรับธุรกิจใหม่ หรือวิธีทำงานแบบใหม่ ... ผมจะดีใจมากเป็นพิเศษ แม้ว่า idea ที่ว่า จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ... แต่ที่สำคัญ มันทำให้สมองของเราได้โลดแล่นออกจาก Comfort Zone เดิมได้ เมื่อได้ออกจาก Comfort Zone เดิมๆ ... มันจึงเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิต เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่เพิ่มขึ้น ... เรื่องใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะยังไม่อาจเกิดเป็นรูปเป็นร่าง หรือเป็นประโยชน์ในอนาคตอันใกล้ได้ ... ก็อย่าได้ดูแคลนไปครับ บ่อยครั้ง ผมพบว่า เรื่องบางเรื่องที่เราเรียนรู้มานานพอควรแล้ว กลับกลายมาเป็นประโยชน์ในอนาคตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ...