Skip to main content

Posts

Showing posts from 2015

Post#3-115: ความสุขจากความทรงจำและจินตนาการ

Post#3-115: ระหว่างนั่งพิมพ์ Post นี้ ผมกำลังอยู่ระหว่างการเล่น Tea Party (หรือสมัยผมเด็กๆ เรียก "เล่นขายข้าวแกง" นั่นเอง) อยู่กับลูกสาว ผมสนุกกับการจินตนาการของลูก และแอบสังเกตปฏิกิริยาของเค้า ตอนผมคอยตอบว่า เครื่องดื่มอะไรรสชาติดี และคุ้กกี้แบบไหนรสชาติเยี่ยม ไม่รู้จะได้เล่นสนุกแบบนี้อีกกี่ปี เพราะลูกสาวโตขึ้นทุกวัน ^^ ... ช่วงนี้ พ่อผมกำลังเห่อ iPhone 6S ที่ผมพึ่งถอยให้เป็นของขวัญวันพ่อ...จากวันนั้น พ่อผมก็เข้าสู่วงการ Social Network อย่างเต็มตัว กิจวัตรประจำวันของพ่อ คือการเล่น Line...และทุกวันพ่อจะต้องส่งอะไรสักอย่างมาหาผม ไม่ว่าจะเป็นรูปสมัยผมเล็กๆ หรือรูปพ่อสมัยหนุ่มๆ ไปจนกระทั่ง Voice Message ผมดีใจที่พ่อสนุกกับกิจกรรมใหม่ และพลอยสนุกเวลาที่ท่านส่งรูปเก่าๆ ที่ไม่ได้เห็นมานาน มาให้ดู ... จากทั้งสองเรื่องที่ผมแชร์มา...แม้จะเป็นการสรุปจากกลุ่มตัวอย่างที่น้อยมากๆ แต่ผมก็จะขอสรุปตามมุมมองของผมว่า ...ความสุขของเด็กๆ มักผูกอยู่กับ "จินตนาการ" ส่วนของผู้สูงวัย มักผูกติดอยู่กับ "ความทรงจำ" ใครจะไปรู้ว่า "จินตนาการ" จะนำพาให้เค...

Post#3-114: เติม "เกลือ" เพื่อชูรสหวาน?

Post#3-114: หลายๆ ครั้งที่เราคงมีคำถามกับตัวเองว่า "ทำไมหนอ เราถึงมีแต่เรื่องร้ายๆ มาเคาะประตูเยี่ยมเยียนไม่เว้นแต่ละวัน?" ไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ ไม่เรื่องงานก็เรื่องที่บ้าน จนดูเหมือนว่าชีวิตเรานี่มันช่างยุ่งเหยิงและวุ่นวายพาลให้ละโหยละเหี่ยเพลียใจเสียเหลือเกิน แต่ช้าก่อนครับ...ลองคิดทบทวนดูให้ดีๆ ว่าวันคืนที่ผ่านมาน่ะ จะไม่มีวันไหนหรือคืนใดที่เรามีความสุขบ้างเลยเชียวหรือ? ... เวลาที่เราจมอยู่ในห้วงทุกข์ จิตใจมันก็หดหู่ แล้วก็มักจะชวนให้เราเปิดลิ้นชักความทรงจำเพื่อขุดเอาแต่วันร้ายๆ มาทับถมตัวเองไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนกับที่บางครั้งที่เราเฝ้าสังเกตรถที่แล่นผ่านไปผ่านมาบนถนนนั่นล่ะครับ...ทำไมบางครั้งเรารู้สึกว่า รถสีนี้มีเยอะกว่าสีอื่น? ก็เพราะเรามัวแต่เฝ้าสังเกตแต่รถสีที่ว่านั่นเอง ทำให้เราไม่ได้รู้สึกเลยว่า จริงๆ แล้วรถสีอื่นก็มีไม่น้อยไปกว่ารถสีที่เราเฝ้าสังเกต เวลาเราเฝ้าแต่คิดถึงเรื่องทุกข์ ก็ไม่ได้ต่างไปจากการที่เราสังเกตสีของรถยนต์บนท้องถนน จนกลายเป็นสะกดจิตตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว ... เอาเป็นว่า เราต้องรู้ให้เท่าทันธรรมดาโลกว่า เราไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ม...

Post#3-113: การวัดผลสำคัญไม่แพ้การตั้งเป้าหมาย

Post#3-113: นั่งหายใจทิ้งกันอีกไม่เกิน 2 วัน, ปีแพะก็กำลังจะโบกมือลาจากเราไปแล้ว ถึงช่วงนี้ ใครที่ยังไม่ประเมินผลการดำเนินงานและผลงานการใช้ชีวิต...ก็ต้องถือว่าใจเย็นเอาการอยู่ครับ เราคุยกันมาบ่อยครั้งแล้ว ดังนั้น ผมคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มว่า การตั้งเป้าหมายสำคัญยังไง...แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่า การวัดผลเองก็สำคัญไม่แพ้การตั้งเป้าหมายเช่นกัน ... ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้เสียดีเลยเมื่อตอนเริ่มต้น แต่ต่อมาเราต้องปรับลดเป้าหมายลง...เราคงต้องหันมาพิจารณาว่า สาเหตุนั้นเกิดจากอะไรกันแน่? บ่อยครั้งเกิดจากการตั้งเป้าหมายผิดพลาด ไม่อิงกับความเป็นจริง หรือพูดตรงๆ ก็คือ ตั้งเป้ามั่วนั่นเอง... แต่บางครั้งผมกลับพบว่า ที่จริงแล้วปัญหาน่ะเกิดจากการตั้งตัววัดผลผิดเสียมากกว่า...ซึ่งอาจส่งผลให้เราประเมินผลสำเร็จของเป้าหมายผิดไปแบบสุดขั้วเลยก็มี ... ถ้าตั้งเป้าหมายว่า อยากได้ยอดขาย 10 ล้านบาทต่อเดือน แต่ตั้งตัวชี้วัดว่า จะต้องมีพนักงานขาย 10 คน...ถามว่า ถึงสิ้นเดือนจะได้ยอดขายตามต้องการรึเปล่า? แปลว่า ถ้าหาพนักงานขายได้ครบ 10 คนเมื่อไหร่ ก็ต้องได้ยอดขายตามต้องการแน่ๆ ใช่มั๊ย? ถ้าใช่ ทำไมไม่หาพ...

Post#3-112: "Oh, Thailand: Sawasdee krub!"

Post#3-112: "Oh, Thailand: Sawasdee krub" ผมมีอันต้องเดินทางไปประชุมที่กรุงย่างกุ้งแบบเช้าไปเย็นกลับ เนื่องจากมีคำสั่งจากบอร์ดบริษัทให้ไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน เดือนนี้ส่วนใหญ่ของฝรั่งทั้งหลายทั่วโลก ไม่ค่อยมีใครทำงานกัน เพราะเป็นเทศกาลวันหยุดยาวๆ เดียวที่พวกเค้ามี ภาระนี้ จึงตกเป็นของคนไทยอย่างผมอย่างช่วยไม่ได้ ... เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็มีข่าวจากหน่วยงานรัฐของไทยในเมียนมาร์ เตือนคนไทยว่า ไม่ควรเปิดเผยตัวว่าเป็นคนไทย หากต้องเดินทางไปที่นั่น เหตุก็เนื่องมาจากคดีเกาะเต่านั่นเอง... ฟังแล้วผมก็กังวลอยู่ไม่น้อย...หากแต่ไม่ได้กังวลว่าตัวผมจะเป็นอันตราย แต่เป็นกังวลกับวิธีคิดของคนเราบางคนในปัจจุบัน ... ถ้าการที่คนไทยจะต้องเป็นอันตรายเพราะแสดงตัวในเมียนมาร์จริงๆ...ผมก็คิดว่าตรรกะของทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาร์ "บางคน" ที่คิดแบบนี้ คงต้องมีปัญหาอย่างมาก เพราะเป็นการพาลพาโลหาเรื่องเอากับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และถ้าจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนั้นขึ้นจริง มันก็จะกลายเป็นปัญหาลุกลามระหว่างประเทศแน่ๆ... อะไรจะเกิดขึ้นกับชาวเมียนมาร์นับล้านๆ คนในไทย และอะไรจะเก...

Post#3-111: ไล่ตามฝัน...นั้นต้องลงมือ

Post#3-111: ถ้าใครติดตามอ่าน Post ของผมเป็นประจำ คงจะจำได้ว่าเราคุยกันเรื่องความฝันและเป้าหมายกันบ่อยมากๆ และคงจะจำได้เช่นกัน ว่าผมจะเน้นย้ำว่า ถ้าปราศจากการลงมือทำแล้ว ความฝันก็จะเป็นแค่ความฝัน และเป้าหมายก็จะเป็นแค่เป้าหมาย แต่น่าเสียดาย...ที่ส่วนใหญ่ของผู้คนบนโลกนี้ ไม่กล้าพอที่จะฝันหรือตั้งเป้าหมาย ด้วยเหตุผลหลักๆ ก็คือกลัวที่จะเปลี่ยนแปลงนั่นเอง ไหนๆ ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว...คงเป็นโอกาสดีสำหรับใครก็ตามที่มีแผนจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ หรืออยากจะลุกขึ้นมาทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง ... ยังไงก็ตามแต่...เราไม่ควรเอาความฝันของเราไปเทียบกับคนอื่นจนมากเกินไป เพราะขนาดของความฝันของคนเราย่อมไม่มีวันจะเท่ากัน ถ้ามันเป็นฝันที่สร้างแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าได้...ก็ต้องถือว่า มันเป็นความฝันที่ดีทั้งสิ้น บางครั้งเราก็มัวแต่จะรอให้เราพร้อมสมบูรณ์แล้วจึงค่อยเริ่มทำฝันให้เป็นจริง...แต่ในความเป็นจริง ผมก็ไม่แน่ใจว่า "ความพร้อมสมบูรณ์" นั้น หน้าตาเป็นแบบไหน? เรารอให้ตัวเองมีความพร้อมระดับหนึ่งได้...แต่ไม่ควรยกเรื่อง "ความพร้อม" มาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมลงมือทำความฝั...

Post#3-110: Life is just like "Marathon".

Post#3-110: ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยและยอมรับครับ ว่าการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ นั้น ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ... คงเหมือนเวลาจะอ่านหนังสือสอบนั่นล่ะครับ เวลาที่เห็นหนังสือเล่มหนาๆ แล้วเราก็พาลจะงอแงหมดแรงอ่านทุกที แต่พอเริ่มต้นอ่านหน้าแรกได้...หน้าต่อไปมันก็ไม่ยากอย่างที่คิด และถ้าวางแผนดีๆ แค่อ่านวันละบทสองบท เราก็คงไม่ต้องไปเหนื่อยยาก อ่านแบบหารุ่งหามค่ำในช่วงใกล้ๆ สอบ หรือตอนเช้าที่เราจะต้องตื่นไปเรียนหรือไปทำงานก็เช่นกัน...มันจะมีมือล่องหนที่ฉุดให้เราไม่อยากลุกจากที่นอน (แถวบ้านผมเรียกว่า "โรคขี้เกียจ") แต่เมื่อต้านแรงฉุดเดินเข้าห้องน้ำได้...พอน้ำรดหัว เราก็ตาสว่างและพร้อมจะไปต่อสู้กับการเรียนหรือการงาน ได้ตามปกติ ... แรงต้านในช่วงเริ่มต้นนี่แหละครับ ที่เป็นอะไรที่เราต้องฝ่ามันไปให้ได้...และหากลองได้เริ่มต้นแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่ได้ยากเกินไปกว่าที่เรากลัวไว้ก่อนที่จะเริ่มต้นหรอกครับ สังเกตดูครับ ช่วงก่อนที่เราจะออกวิ่งได้เต็มฝีเท้า เราต้องอาศัยแรงที่มากหน่อย แต่เมื่อออกวิ่งได้แล้ว เรากลับไม่ต้องออกแรงมากเท่าช่วงสตาร์ท และถึงแม้ว่าระหว่างทาง เราเกิดพลั้งพลาดหกล้ม...ก็อย่าไ...

Post#3-109: ดื่มฉลองปีใหม่

Post#3-109: ผมมานั่งสังเกตดู พบว่าช่วงนี้มีแต่คนโพสต์เรื่องงานฉลอง Christmas และปีใหม่ กันเต็มทุกพื้นที่สื่อ On-line ตั้งแต่ปลายสัปดาห์นี้ต่อเนื่องไปจนถึงปลายสัปดาห์หน้า ถือเป็นช่วงสูญญากาศแห่งการทำงาน แปลว่า ใครมาคุยอะไรเรื่องงาน ก็เป็นอันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา...ค่อนข้างจะแน่แท้และแน่นอน ... เที่ยงนี้ผมมีโอกาสได้นั่งทานกลางวันกับ Partner ชาวต่างชาติ เกี่ยวกับนิสัยการเฉลิมฉลองของชนชาติต่างๆ ก็คุยกันถึงการฉลองของคนหลายชาติ จนมาถึงพี่ไทย...ที่ทำเอาผมเขินเอาการที่จะต้องตอบ... คนอื่นจะเห็นด้วยรึเปล่าผมไม่แน่ใจ...เพราะผมตอบว่า คนไทยนั้นมีนิสัยรักสนุก จึงร่วมฉลองกับผู้คนทั่วโลกได้ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะปีใหม่ไทย, จีน, ฝรั่ง แม้กระทั่ง Halloween รับรองได้ว่าพี่ไทยไม่เคยพลาดโอกาส ... เพื่อหาหลักฐานบางอย่างมาเป็นตัวชี้วัดว่า คนไทยรักการฉลองจริงหรือไม่ ผมจึงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดู...เมื่อเอ่ยถึงการฉลอง คงต้องเกี่ยวพันกับแอลกอฮอล์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผมก็พบว่า ข้อมูลทางสถิติบ่งชี้ว่า คนไทยบริโภคแอลกอฮอล์มากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกเลยทีเดียว (ข้อมูลปี 2557) แน่นอนว่า คงไม่ใช่การดื...

Post#3-108: Santa Claus is coming to town!

Post#3-108: ช่วง 2-3 วันมานี้ ลูกสาวผมดูตื่นเต้นมากๆ ว่า Santa Claus จะเอาของขวัญอะไรมาให้เธอกันนะ? ผมฟังลูกไปก็ยิ้มไปกับความไม่เดียงสาของเด็กๆ ที่คิดว่า มี Santa Claus จริงๆ...และไม่ใช่แค่ลูกสาวของผม แต่รวมไปถึงเด็กๆ อีกหลายพันล้านคนบนโลก ก็ต่างเฝ้ารอคืนนี้มากเป็นพิเศษ ภาพเด็กๆ ที่ตื่นขึ้นแล้วพบของขวัญวางอยู่ที่หัวนอนหรือในถุงเท้านี่ ผมว่าช่างดูน่ารักและน่าเอ็นดูจริงๆ ครับ ... ผมเองก็จำไม่ได้ ว่าตั้งแต่อายุเท่าไหร่กันแน่ ที่รู้ความจริงว่า Santa Claus น่ะ ไม่มีตัวตนอยู่จริงๆ ในโลก? เดาเอาว่า คงเป็นช่วงเดียวกับที่รู้ว่า พวกยอดมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจากค่าย Marvel หรือ DC หรือพวก Ultraman น่ะ ไม่ได้มีอยู่จริง นับตั้งแต่วันนั้น คงเป็นวันที่โลกแห่งความจริงกับโลกแห่งจินตนาการของเรา กลายเป็นโลกคู่ขนานที่ไม่มีวันกลับมาทับซ้อนกันได้อีกตลอดกาล ... กระนั้น ผมก็ยังจำความรู้สึกที่ได้เห็นคนสวมชุดยอดมนุษย์ออกมากระโดดโลดเต้นใน TV ได้ดี และอดยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้ ว่าความรู้สึกตอนนั้นมันช่างน่าทึ่งเสียนี่กระไร ไม่รู้ว่าใครบ้างหนอ ที่เป็นคนสรรค์สร้าง Santa Claus และยอดมนุษย์ทั้งหลายขึ้...

Post#3-107: เราเรียนรู้อะไรและได้อะไรจากการลงมือทำ?

Post#3-107: เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมานี้เอง ผมกับลูกสาวช่วยกันประกอบชั้นวางของแบบ DIY ด้วยกัน... ใครมีลูกที่ยังเล็กๆ คงจะทราบว่า บางครั้งการที่ลูกมาช่วยทำงานน่ะ...แทนที่จะทำให้งานเร็วขึ้น กลับกลายเป็นช้าลง แต่สิ่งที่ได้กลับมาแทนเวลาที่เสียไปนั้น...ผมคิดว่ามันคุ้มค่ากว่าเป็นอย่างมาก ... หนึ่ง...ผมได้เปิดโอกาสให้ลูกได้อ่านคู่มือประกอบ และเป็นคนบอกให้ผมประกอบเป็นขั้นๆ ไป และนั่นแปลว่า ลูกได้เรียนรู้วิธีการทำงานแบบเป็นขั้นเป็นตอน สอง...ผมให้ลูกได้ลงมือประกอบตรงส่วนที่ง่ายๆ และนั่นแปลว่า ลูกได้มีส่วนร่วมในงาน เมื่อประกอบเสร็จเธอก็อวดแม่อย่างภูมิใจว่า หนูมีส่วนร่วมในการประกอบ สาม...แม้ผมจะเสียเวลามากขึ้น แต่นั่นเป็นการเสียเวลาของคนๆ เดียวไปเท่านั้น และนั่นแปลว่า ผมได้เวลาร่วมกันของพ่อกับลูกมาแทนที่ ... เรื่องที่ผมแอบสอนลูกนี้ จริงๆ แล้วก็เกิดขึ้นในชีวิตการทำงานเช่นกัน... ดังนั้น จงอย่ามัวนึกสงสัย หรือมัวแต่ตัดพ้อ เวลาที่ได้รับงานเพิ่ม...หรือมัวเฝ้าถามว่า บางอย่างนายทำเองก็ได้ ง่ายกว่าตั้งเยอะ แต่ทำไมยังสั่งให้เราเป็นคนทำ? เอาเวลาที่มานั่งสงสัยประเด็นที่ว่า ไปใช้เก็บเกี่ยวข้อม...

Post#3-106: ความผิดพลาดเล็กๆ ที่ผิดที่ผิดเวลา

Post#3-106: ช่วงวันสองวันนี้ มีแต่ดราม่าเรื่องการประกาศชื่อ Miss Universe 2015 ผิด...เป็นการผิดชนิดบาดหัวใจคนทุกคน โดยเฉพาะกับ Miss Colombia และชาว Colombia ทั้งประเทศ และทำให้เจ้าของตำแหน่งตัวจริง อย่าง Miss Philippines ต้องมาพลอยเสียรังวัดไปด้วย... เรื่องจริงเป็นยังไงผมไม่ทราบ...แต่เท่าที่ดูสีหน้าและอากัปกิริยาของ Miss Philippines แล้ว ผมก็เชื่อว่า เธอไม่น่าจะมีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลย ... ทั้ง Miss Colombia และ Miss Philippines คงไม่อาจลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ เล่นเดียวกับผู้คนกว่าพันล้านคน ที่ได้ดูการถ่ายทอดสด และอีกหลายพันล้านคนที่จะนำบันทึกเหตุการณ์มาดูและวิพากย์กันไปอีกนานแสนนาน ส่วนผู้ดำเนินรายการ Mr.Harvey น่ะ ผมยังเดาไม่ออกเลย ว่าอนาคตทางด้านการงานของเค้าจะเป็นไปในทิศทางใด? ผมไม่ได้ดูเทปการประกวดแบบต่อเนื่องตลอดเวลา แค่เปิด TV ไว้เป็นเพื่อนขณะนั่งทำงาน แต่เท่าที่ดูและฟังแบบผ่านๆ ผมว่า Mr.Harvey นั้นทำหน้าที่ได้ดี แต่กลับมาตกม้าตายแบบไม่น่าเชื่อ... และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า บางครั้งความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นผิดที่และผิดเวลา กลับส่งผลกระทบต่อตัวเราและผู้คนใ...

Post#3-105: "ทำไม่ผิด" แต่ก็ "ทำไม่ถูก"

Post#3-105: ผมไม่แน่ใจว่า มีใครเคยตกอยู่ในสถานการณ์ "ทำไม่ผิด" แต่ก็ "ทำไม่ถูก" กันบ้างมั๊ยครับ? ผมเคยแชร์เรื่องนี้ไว้ครั้งหนึ่งไว้นานมากแล้ว (Post#326)...คราวนั้น ผมยกตัวอย่างเรื่องการจองโรงแรมของลูกน้องคนหนึ่ง แต่ช่วงหลังๆ มานี้ ผมกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองและคนรอบข้างหลายๆ คน กำลังตกอยู่ในภาวะที่ว่าอีกครั้ง...และต้องบอกตรงๆ ว่าผมไม่ชอบเอาเสียเลย กับสถานการณ์ที่บอกได้ไม่เต็มปากว่า คนที่ทำไม่ถูกน่ะคือใครกันแน่ เปล่าครับ...ผมไม่ได้ต้องการจะคาดคั้นหาว่าใครผิด หากแต่ตราบเท่าที่เราไม่รู้ว่าต้นเหตุแห่งความผิดนั้น อยู่ที่เหตุใดและใครเป็นคนก่อให้เกิดขึ้น นั่นก็แปลว่า เราไม่อาจวางแผนป้องกันไม่ให้มันเกิดซ้ำได้ ย้ำไว้ตรงนี้อีกนิดครับ ว่าเมื่อเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นแล้วก็ตาม เรื่องสำคัญที่สุดก็ยังต้องเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นๆ ให้ลุล่วงหรือบรรเทาลงไปให้ได้ก่อน หลังจากนั้นแล้วจึงเป็นเวลาของการคิดหาหนทางป้องกันไม่ให้ข้อผิดพลาดที่ว่านั้น เกิดซ้ำอีก ... อ่านแล้วอาจจะยังงงๆ อยู่...ว่าแล้ว ผมก็ขออนุญาตยก case มาเล่าให้ฟังดีกว่า ผมคุยกับเพื่อน (สมมติว่าชื่อ A นะครับ) ว...

Post#3-104: ความเป็นห่วงจากอดีตกัปตันเรือ

Post#3-104: ดึกดื่นค่อนคืนที่ผ่านมา มีอดีตลูกน้องส่ง Line มาปรับทุกข์ แม้จะไม่ได้มีโอกาสคุยกันเลย แต่ผมก็พอรู้ว่า ตั้งแต่จากกันมา ระบบระเบียบอะไรก็ตามที่ผมสร้างไว้อย่างยากลำบากนั้น ไม่ได้รับการสานต่อ ส่งผลให้น้องๆ ระดับปฏิบัติการทั้งหลาย ต้องกลับไปทำงานแบบเดิมๆ ที่เคยทำกันมาอีกครั้ง ... ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่จะมาอวดตัวว่าเก่งแต่อย่างใดนะครับ...ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกเห็นใจและเป็นห่วง ทั้งเจ้าของและน้องๆ ทั้งหลายเป็นอย่างมาก ต่างหาก เนื่องจากมิติในการทำงานระหว่างระดับบริหารและระดับปฏิบัติการน่ะ มันต่างกันมากอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่นโยบายในการบริหารจะถูกแปลงให้เป็นแผนปฏิบัติงานได้อย่างยากลำบาก แม้เป้าหมายจะถูกตั้งไว้ดีเพียงใด หากแต่เมื่อไม่รู้จะกำหนดแนวทางในการจะไปให้ถึงเป้าอย่างไร ก็เป็นอันยากเสียเหลือเกินที่จะสามารถไปให้ถึงจุดที่ต้องการได้ ... ดังนั้น ระดับ Top Management ที่เข้าใจทั้งเจ้าของและคนปฏิบัติงาน จึงมีส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อ "ฟ้า" และ "ดิน" แม้จะมีเจ้าของที่พร้อมลงเงิน และมีพนักงานที่พร้อมจะลงแรง หากแต่เมื่อขาดกัปตันเรือที่เชี่ยวชาญแล...

Post#3-103: The 3 C's for Life

Post#3-103: ในชีวิตของเราทุกคน ไม่อาจหลีกเลี่ยงการต้องตัดสินใจเลือกอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเลือกคู่, เลือกงาน หรือเลือกอะไรก็ตาม แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ยากมากก็ตาม แต่เราก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องตัดสินใจที่จะเลือกได้ ชีวิตจึงขึ้นอยู่กับการเลือกจริงๆ...หรือที่เรามักพูดกันว่า "Life is a matter of Choice." ... ฝรั่งพูดถึงเรื่อง Choice ไว้ได้น่าฟัง ว่า Choice เป็นเรื่องของโอกาสที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น...เค้าว่าไว้แบบนี้ครับ "The 3 C's of Life: Choices, Chances, Changes. You must make a choice to take a chance to change your life." แปลว่า "สาม C ในชีวิตของคนเรา: Choice (ทางเลือก), Chance (โอกาส), Change (การเปลี่ยนแปลง). เราจำเป็นต้องเลือกเพื่อโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา" ... ถ้าเราลังเลกับชีวิต ไม่รู้จะไปซ้ายดีหรือขวาดี แล้วปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนั้น มันก็จะทำให้เราสูญเสียทิศทาง ที่ว่าสูญเสียทิศทาง เป็นเพราะ "เป้าหมาย" นั้น หายไป... ดังนั้น เราจึงไม่อาจไม่ตัดสินใจ ......

Post#3-102: งานปีใหม่เฮฮา

Post#3-102: ค่ำนี้ บริษัทแห่งหนึ่งของผมมีจัดเลี้ยงปีใหม่กัน บอกตรงๆ ครับ ว่าบรรยากาศในงานมันวุ่นวายดีแท้ มีแต่เสียงคุยกันจ้อกแจ้กจอแจเสมือนไม่ได้คุยกันมานานแสนนาน ที่สำคัญ ผมให้เชิญน้องๆ ที่เคยทำงานกับเรา กลับมาร่วมสนุกกันด้วยในคืนนี้ ^^ ... ผมชอบดูว่า น้องๆ จะคิดเกมหรือกิจกรรมอะไรสนุกๆ มาเล่นกัน และก็ชอบลอบสังเกตว่า ใครมีส่วนร่วมในกิจกรรมไหนมากน้อยเพียงไร มานั่งสังเกตแล้ว คนที่สนุกที่สุดในแต่ละเกมน่ะ กลับไม่ใช่ "ผู้เล่น" แต่เป็น "ผู้ชม" และที่ว่าสนุกก็เพราะ ทั้งกองเชียร์และกองแช่ง ต่างก็แข่งขันกันทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ^^ ถามว่าสนุกขนาดไหนนะหรือครับ? ไม่มากมายอะไร ก็แค่หูผมชาไปด้วยเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะ และเสียงแหบเสียงแห้ง เพราะทั้งหัวเราะบวกกับต้องตะโกนพูดแข่งกัน...แค่นั้น ^^ ... งานรื่นเริงแบบนี้ เหมาะที่สุดที่จะทำให้คนเดิมที่อยู่ คนใหม่ที่มา และคนเคยทำงานด้วยกัน ได้รู้จักและสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว การได้รู้จักอีกมุมหนึ่งของเพื่อนร่วมงาน ก็นับเป็นเรื่องจำเป็นไม่น้อย เพราะถือเป็นหลักฐานแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จนกว่าจะ...

Post#3-101: พบ Investor อีกครา

Post#3-101: เที่ยงวันนี้ ผมมีโอกาสได้สนทนากับ Investor ท่านหนึ่ง ที่เพื่อนรุ่นพี่ที่ผมเคารพ กรุณาแนะนำให้รู้จัก ว่ากันตามจริง ผมชอบคุยกับ Investor อยู่ไม่น้อย เพราะถือเป็นโอกาสได้เช็คความสามารถของตัวเองว่า เข้าใจธุรกิจทีทำอยู่ดีพอแล้ว จริงหรือไม่? เหตุเพราะคำถามแต่ละคำถามที่ Investor ถามเรานั้น ล้วนตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นจริง ไม่ค่อยเชื่อในความเพ้อฝัน และมีจุดประสงค์ในการถามที่ชัดเจน ... นอกจากที่เราจะได้โอกาสในการทดสอบตัวเองอย่างที่ว่าแล้ว เหล่า Investor ก็มักจะมีมุมมองและคำถามที่เรานึกไปไม่ถึงอยู่เสมอ เพราะพวกเค้าผ่านการนำเสนอธุรกิจมามาก บางมุมมองและบางคำถามของพวกเค้า จึงอาจทำให้เราต่อยอดทางความคิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ...กลายเป็นแนวทางในการปรับปรุงธุรกิจของเราขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่ง ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การได้ไปคุยกับ Investor จึงเปรียบเสมือนการได้โอกาสในการลับสมองและเพิ่มขีดความสามารถในการนำเสนองาน ได้อย่างดีเยี่ยมที่สุด ... ตอนเตรียมข้อมูลนำเสนองาน เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า เตรียมได้ดีแล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว ต่อเมื่อได้นำเสนอจริงๆ เราถึงจะรู้ว่า ธุรกิจของเราย...

Post#3-100: มืออาชีพต้องรู้จักแยกแยะ

Post#3-100: ระหว่างนั่งเขียนโพสต์นี้ ผมนั่งอยู่กับกลุ่มผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติของผม หลังจากการประชุมอันเคร่งเครียดมาทั้งวัน ถกเถียงกันแทบเป็นแทบตาย ก็ถึงช่วงเวลาที่พวกเราทั้งหมดมาทานข้าว และคุยเรื่องอื่นเพื่อผ่อนคลาย การแบ่งช่วงเวลาเคร่งเครียดกับช่วงเวลาสังสรรค์ออกจากกันได้แบบเด็ดขาดแบบนี้ ถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของชาวยุโรป ... ช่วงหลังประชุม ลูกน้องของผมคนหนึ่งก็เข้ามาปรึกษาเรื่องการวางตัวในที่ทำงาน เธอมีปัญหานิดหน่อยกับการต้องรับทำงานที่เธอไม่ค่อยเต็มใจที่จะทำ ซึ่งมันไม่ใช่งานในหน้าที่ แต่เธออดใจอ่อนทำให้ไม่ได้ บ่อยครั้ง ที่คนที่ขี้ใจอ่อน มักจะตกเป็นเหยื่อของความขี้สงสารและขี้เกรงใจ และลงท้ายด้วยการถูกเอาเปรียบอยู่ร่ำไป ... ทั้ง 2 เรื่อง มีความเหมือนกันตรงที่ การต้องรู้จักหัดแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน ถ้าเราเจอใครใน office ที่โกรธหรือไม่พอใจเรา เพราะเค้าไม่รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากงาน เราก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเค้าจนเกินงาม แต่จะแยกแยะเรื่องส่วนตัวของงานได้ ต้องเริ่มจากการแยกแยะความรู้สึกก่อน...โกรธหรือไม่พอใจใครด้วยเรื่องงาน ก็อย่าไปพาลเค้านอกง...

Post#3-99: ปัญหาของนายในยามเศรษฐกิจแย่

Post#3-99: ช่วง 2 วันมานี้ ผมใช้ชีวิตเข้าออกห้องประชุมเป็นว่าเล่นเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุที่มีหลากเรื่องหลายบริษัทฯ ที่ต้องจัดการ ต่างบริษัทก็ต่างเรื่องราวต่างปัญหา...มากน้อยและหนักเบาต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทุกปัญหาต่างก็ไหลมาหาคนนำองค์กรนั่นเอง ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียวที่เจอ...หากแต่ใครที่อยู่ในฐานะคนนำองค์กร ก็รับรองได้ว่า แม้จะมอบหมายงานให้ลูกน้องไปแล้ว ก็อย่าหวังว่าความรับผิดชอบในผลลัพธ์จะตามไปกับลูกน้องด้วย ... ฉะนั้น คนที่เป็นเจ้านาย จึงต้องแบกรับความรับผิดชอบที่มีขนาดและจำนวนอันมหาศาล และยิ่งองค์กรใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ ขนาดและจำนวนมันก็จะโตตามไปด้วยเท่านั้น ยามที่เศรษฐกิจเป็นปกติ ก็ต้องยอมรับว่าเจ้านายอาจจะมีความเหนื่อยกายน้อยกว่าลูกน้อง ส่วนความเหนื่อยใจก็มักจะเกิดจากปัญหาภายในเป็นหลัก แต่ยามที่เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง บรรดาเจ้านายทั้งหลายน่ะ ทั้งต้องเหนื่อยกายทุ่มเทให้มากกว่าลูกน้อง และทั้งต้องแบกรับความเหนื่อยใจที่ถาโถมเข้ามา ซึ่งบอกได้เลยว่า มันจะมาพร้อมๆ กันทั้งปัญหาภายในและภายนอก อย่างแน่นอน ... ทั้งนี้ เพราะเมื่อเศรษฐกิจแย่ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะโทษคนอื่น แต่ไม่โทษตัวเอง ...

Post#3-98: ลาพักร้อน

Post#3-98: ใกล้ช่วงสิ้นปี บรรดามนุษย์เงินเดือนทั้งหลายต่างก็มีแต่ความสุขกันมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะอารมณ์และบรรยากาศมันชวนให้เฉลิมฉลองเริงรื่นเสียนี่กระไร น้องๆ ต่างก็ใช้ช่วงนี้ ในการลาหยุดยาวๆ เรียกว่าเหลือวันพักร้อนเท่าไหร่ ก็ต้องใช้ให้หมดในคราวนี้ ผมเคยเป็นลูกน้องและมนุษย์เงินเดือน จึงเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้ดี และไม่เคยคิดจะห้าม หากลูกน้องอยากจะใช้วันหยุดพักร้อนยาวๆ ... แต่ประเด็นที่ผมอยากชี้ให้เห็นก็คือ การลาพักร้อนจนแทบไม่มีใครเหลือไว้ประสานงานเลยน่ะ บางทีมันก็แย่อยู่เหมือนกันครับ ผมก็เข้าใจ ว่าน้องๆ น่ะอยากจะเที่ยวด้วยกัน แต่ถ้าชวนกันไปเที่ยวหมดทั้งแผนก แล้วงานที่ค้างอยู่ ใครจะเป็นคนสานต่อ? แล้วส่วนมาก เดือนนี้จะเป็นเดือนที่ Productivity แทบจะเป็น "0" ด้วยเพราะใจน่ะ ไป Jingle Bell เสียนานแล้ว...นั่นแปลว่า งานค้างเพียบ และมีแนวโน้มจะค้างไปข้ามปีแน่ๆ ... ดังนั้น ถ้าอยากไปพักร้อนกันอย่างสุขใจ ไม่มีสายจาก Office มารบกวน...จึงต้องวางแผนการลาพักร้อนให้ดีๆ ครับ ถ้าอยากให้นายเห็นใจ ให้ลาโดยไม่หน้าหงิกหน้าง้ำ ก็อยากให้เห็นใจเจ้านายบ้าง ที่เวลาลูกค้าตามงานแล้วถ...

Post#3-97: อยากเป็นผู้ใหญ่...

Post#3-97: เป็นปกติของครอบครัวผม ถ้าไม่มีธุระปะปังที่ไหน เป็นอันรู้กันว่า เย็นๆ ของวันอาทิตย์ เราจะต้องไปเลี้ยงปลาที่สระน้ำของหมู่บ้าน บรรยากาศของเด็กๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว วิ่งวนกันให้ขวัก บ้างก็ขี่จักรยาน บ้างก็เตะบอล ดูเป็นที่รื่นหย่อนผ่อนอารมณ์ได้ดียิ่ง ผมชอบภาพแบบนี้เป็นที่สุด เพราะสมัยเด็กๆ ผมอยู่ตึกแถว เดินออกจากหน้าบ้านก็เป็นถนนในซอยแล้ว ไม่มีที่ให้วิ่งเล่นแบบนี้เลย ... สารภาพตามตรงครับ...สมัยเป็นเด็ก ผมอยากโตเร็วๆ ชะมัด คิดอยู่แต่ว่าเป็นเด็กนี่ไม่ดีเอาเสียเลย ทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ โตขึ้นมาจนขึ้นมัธยม ต่อไปจนช่วงเรียนมหา'ลัย ก็ดิ้นรนอยากจะเรียนให้จบเร็วๆ ทั้งสอบเทียบ ทั้งลงเรียน Summer Course ด้วยมีความเชื่อฝังหัวอยู่ว่า เรียนจบเมื่อไหร่ ชีวิตคงเต็มไปด้วยอิสระ อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ มีรายได้เป็นของตัวเอง อยากไปเที่ยวไหนก็ทำได้ ใครที่ตอนนี้ทำงานแล้ว...คงรู้ซึ้งเช่นเดียวกับผมว่า ที่วาดฝันไว้ว่าเมื่อได้เข้าสู่วันทำงานแล้วนั้นน่ะ  มีอิสระอย่างที่คิดรึเปล่า? ว่าแล้วก็อยากจะสะกดจิตตัวเองให้คืนนี้ได้ฝันว่า กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ ^^ ... ตัดภาพกลับมาที...

Post#3-96: ปีนี้เผาหลอก...ปีหน้าเผาจริง

Post#3-96: หมู่นี้ผมหันไปทางไหน ก็ได้ยินเสียงบ่นอยู่รอบกาย ทุกคนล้วนแต่มีเรื่องกลุ้มใจมากมายสารพัดเรื่อง...ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่นับวันจะถอยหลังลงคลองมากขึ้นทุกที ...ช่างสวนทางกับค่าครองชีพที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นทุกทีไป คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มและปลอบใจตัวเอง...ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ แล้วก็บอกทุกคนรวมทั้งตัวผมเองด้วย ให้กัดฟันลุยต่อไป ... ในช่วง 4-5 ปีมานี้...จะว่าไป ก็กลายเป็นความชาชินอย่างหนึ่ง ที่ช่วงใกล้ๆ ปลายปีทีไร ก็จะได้ยินเสียงคนคุยกันเรื่องภาวะของเศรษฐกิจในปีหน้า และความเคยชินที่ว่าก็คือ...หลายๆ คน ทั้ง Guru และ Gu-muor ก็มักจะบอกว่า "ปีนี้เผาหลอก...ปีหน้าเผาจริง" ส่งผลให้พ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย เริ่มต้นการค้าการขายด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว และเริ่มต้นปีหน้าด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ... บริษัทฯ ของผมเอง ใช่ว่าจะไม่เจอมรสุมทางเศรษฐกิจ...ตรงกันข้าม ผมว่าปีนี้ผมเจอหนักที่สุดกว่าปีไหนๆ ที่ผ่านมา แต่ถ้ามัวแต่ก้มหน้าทอดอาลัย...ผลลัพธ์ก็มีอยู่แค่หน้าเดียว คือพ่ายแพ้ยับเยิน ด้วยเหตุทึ่ใจมันยอมแพ้เสียก่อน จึงย่อมมองไม่เห็นหนทางต่อสู้ เมื่อหลายวันก่อน มี P...

Post#3-95: นักมายากล...ในฝัน

Post#3-95: ผมชอบดูมายากลมากๆ และใฝ่ฝันจะเป็นนักมายากลตั้งแต่เด็กๆ ผ่านมากว่า 30 ปี ผมก็ยังชอบดูมายากล...แต่ผมก็ยังไม่สามารถแสดงมายากลใดๆ ได้เลย แน่นอนว่า...ก็เป็นเพราะผมไม่ได้ฝึกเล่นมายากล แค่อยากเป็น จะทำให้ผมเป็นนักมายากลได้ยังไง? ... หลายครั้งในชีวิตที่เราได้แต่ฝัน..แต่แล้วเราก็ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปเฉยๆ โดยไม่ได้ลงมือ จากวัน...เป็นเดือน...แล้วก็เป็นปี...และลงท้ายด้วยกลายเป็นหลายสิบปี พอนึกได้ที...เราก็จะรู้สึกอยากทำความฝันให้เป็นความจริงที...แต่ถ้านึกได้ แต่ไม่ได้ลงมือทำทันทีและทำอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม ... ถ้ามันเป็นความฝันที่เล็กๆ อย่างที่ผมฝันอยากจะเป็นนักมายากล...และมันไม่ได้ส่งผลอะไรกับความก้าวหน้าในชีวิต ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ ใช่ครับ...ไม่เห็นต้องบอกเลย ใครๆ ก็รู้ แต่น่าประหลาดมั๊ยล่ะครับ ว่าหลายคนที่บอกว่า "รู้" นั้นน่ะ...ชีวิตของเค้ายังอยู่จุดเดิม ไม่ได้ก้าวไปไหนเลย ก็แน่ล่ะ เมื่อไม่ออกก้าวเดิน...ชีวิตจะไปข้างหน้าได้ยังไงกัน? ... ผมอดเป็นนักมายากลอย่างที่ฝัน... นั่นเป็นข้อพิสูจน์แล้ว...ว่าถ้าไม่ลงมือทำ ฝันก็ไม่มีทางเ...

Post#3-94: คารวะ "ตำนานมีชีวิต"

Post#3-94: เช้านี้ผมโชคดีที่หุ้นส่วนของผมพาไปรู้จัก "ตำนานมีชีวิต" ของวงการธุรกิจหนึ่ง อย่างที่ผมนำมาแชร์ไว้หลายครั้ง ว่าผมชอบคุยกับผู้อาวุโสแห่งวงการต่างๆ เพราะการฟังพวกท่านเล่าเรื่อง ให้ความรู้สึกเหมือนการนั่ง Time Machine กลับไปในอดีต...ได้ฟังประวัติศาสตร์ของวงการ ในแบบรวบยอด ^^ ที่สำคัญยิ่งก็คือ ผมชอบประกายตาและน้ำเสียง เวลาที่พวกท่านเล่าถึงประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน...กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ... ทุกครั้งที่ได้ฟังท่านผู้อาวุโสเล่าเรื่อง...ผมจะรู้สึกเหมือนผมตัวเล็กลง และจะมีสำนึกเตือนตนว่า "เรามันยังเป็นแต่เด็กหัดเดิน" เท่านั้นเอง และเท่าที่ผมสังเกต...เวลาที่ท่านผู้อาวุโสหลายๆ ท่านเล่าเรื่อง ท่านมักจะสอดแทรกคำสั่งสอน บวกกับให้กำลังใจเรา ด้วยเสมอ ทั้งนี้เพราะท่านผ่านร้อนผ่านหนาว จนเข้าใจสัจธรรมของชีวิตเป็นอย่างดี...ท่านจึงมักเตือนว่า ธุรกิจมีขึ้นมีลง ฉะนั้น ก็จงอย่าประมาท และต้องใส่ใจในงานอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่า พอตำแหน่งใหญ่โตแล้วจะไม่ต้องลงรายละเอียดของงาน ... ที่กำแพงข้างโต๊ะทำงานของท่าน มีอักษรจีนพร้อมคำแปล ใส่กรอบไว้อย่างงดงาม... ท...

Post#3-93: สั่งงานให้เป็น...เน้นงานให้ถูก

Post#3-93: เคยได้ยินคำตอบที่ว่า "กำลังทำอยู่ครับ/ค่ะ" กันบ้างมั๊ยครับ? ผมตอบได้ว่า ผมได้ยินคำตอบแบบนี้บ่อยมากจริงๆ เวลาที่ตามงานจากลูกน้อง มันเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่จะต้องบอกว่า ส่วนใหญ่ของคำตอบแบบนี้ มักจะแปลว่า "ยังไม่ได้ลงมือทำเลย" ต่างหาก ... แน่นอนว่า เวลาได้ยินคำตอบแบบนี้ เจ้านายทั้งหลายก็คงจะอดโกรธไม่ได้...แต่ก่อนที่จะโกรธลูกน้อง ลองพิจารณาข้อสะกิดใจต่อไปนี้ดูก่อนครับ หนึ่ง...เรามอบหมายงานนั้น เหมาะสมกับความสามารถของลูกน้องแล้วหรือไม่? สอง...เรารู้หรือไม่ว่า เรามอบหมายงานให้ลูกน้องไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง? เค้าจะทำทันมั๊ย? สาม...เราได้ลำดับความสำคัญให้ลูกน้องมั๊ย ว่าจะต้องทำเรื่องไหนก่อน? สี่...เราได้อธิบายรายละเอียดของงานมากน้อยแค่ไหน แล้วแน่ใจใช่มั๊ย ว่าลูกน้องเข้าใจงานอย่างชัดเจน? ห้า...เราติดตามความคืบหน้าของงานบ่อยครั้งแต่ไหน? ให้งานไปแล้วไปตามงานเมื่อตอน Dead Line เลยหรือเปล่า? หก...เราวาง Buffer Time เผื่อต้องให้กลับไปแก้ไขงานบ้างมั๊ย? (กรณีเกิดเหตุให้ต้องแก้ไขงาน...ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ) ... สำหรับตัวผมเองบางครั้งที่ตำหนิลูกน...

Post#3-92: อาขยาน

Post#3-92: ไม่แน่ใจว่า เด็กๆ สมัยนี้ ยังรู้จักบท "อาขยาน" หรือ "บทกลอน" ที่บรรดาลุงป้าน้าอาเคยท่องเมื่อตอนเล็กๆ กันบ้างหรือเปล่าครับ? สมัยลูกสาวผมอายุประมาณ 2-3 ขวบ ผมก็มักจะให้ท่องบทกลอนและอาขยานต่างๆ เช่น จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าฯ, ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่, ฯลฯ ประมาณนี้ ถ้าถามผมว่าบทกลอนหรือบทอาขยานเหล่านี้ มีประโยชน์อะไร? ผมตอบได้ว่า นอกเหนือไปจากที่จะช่วยให้เราจดจำอะไรได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังถือเป็นการสืบสานวัฒนธรรมด้านภาษาที่สวยงาม ของพวกเราชาวไทยอีกด้วย ... ถ้าข้อมูลของผมถูกต้อง สมัยนี้ หลักสูตรการเรียน ไม่ได้สอนให้เราท่อง "ก เอ๋ย ก ไก่, ข ไข่ อยู่ในเล้า, ฯลฯ" แต่ให้ท่อง ก ไก่, ข ไข่, ฯลฯ ไปเรื่อยๆ แทน ไม่รู้สิครับ ผมว่าวิธีการท่องจำแบบอาขยานโบราณที่มีความคล้องจองของภาษาเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะ มันทำให้เราจำได้ง่ายกว่าเป็นไหนๆ บางครั้งถ้าทดลองเปลี่ยนแล้วมันไม่ดีกว่าเดิม...มันคงไม่เป็นการถอยหลังลงคลองหรอกครับ ถ้าจะกลับไปนำสิ่งที่ดีงามในอดีตกลับมา พิสูจน์ได้ง่ายๆ ครับ ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง...ก็ผ่านมากว่า 30 ปี มาลองให้ผมท่อง ก-ฮ ผมก็ยังท่องจบ, จะ...

Post#3-91: ทำงานในวันหยุดยาว

Post#3-91: วันหยุดชดเชยแบบนี้ แต่บริษัทของลูกค้าของผม ไม่ได้หยุดทำงาน และนั่นเป็นเหตุให้ลูกน้องของผมหลายๆ คน ต้องมาทำงานด้วยเช่นกัน เหตุเพราะเราต้องเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง...เมื่อลูกค้าไม่หยุดงาน และเลือกที่จะขอให้เราทำงานที่สำคัญในวันนี้...เราจึงเลือกที่จะสนองความต้องการนั้น จะว่าไปแล้ว จะใช่คำว่า "เรา" ก็คงไม่ถูกนัก คงต้องใช้คำว่า "ผม" เองมากกว่า ที่ต้องรบกวนให้ลูกน้องมาช่วยงานในวันหยุด เพราะมันความเป็นจริงที่ว่า...ไม่มีลูกจ้างคนใดที่อยากจะทำงานในวันที่คนอื่นหยุดงานหรอกครับ ยิ่งเป็นวันหยุดยาวแบบนี้ด้วยแล้ว ในการประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานวันนี้...ผมค่อนข้างพอใจกับภาพรวมค่อนข้างมาก เรียกได้ว่าไม่เสียแรงที่เตรียมงานกันมาหลายวัน ... การที่จะให้ลูกน้องต้องยอมเสียสละเวลาที่เค้าจะได้อยู่กับครอบครัวในวันหยุดยาวๆ แบบนี้ได้...เห็นทีจะต้องพูดถึงแรงผลัก อะไรทำให้คนยอมที่จะมาทำงานในวันหยุดยาวๆ แบบนี้ได้บ้าง? หนึ่ง คือ เพราะเค้าถูกเจ้านายบังคับ / สอง คือ เค้าได้ค่าตอบแทนสูงมากสำหรับวันนี้ / และสาม คือ เพราะเค้ามีสำนึกที่ดี เห็นแก่บริษัทฯ / หรืออาจจะมีแรงผลักอ...

Post#3-90: บริการย่ำแย่

Post#3-90: เมื่อวาน หลังประชุมช่วงเช้าเสร็จ ผมพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ก็เลยไปร้านตัดผมเจ้าประจำ...แต่วันนี้ผมโชคไม่ดีเอาเสียเลย ที่ไปเจอน้องที่ทำหน้าที่สระผม ให้บริการได้ไม่ค่อยน่าประทับใจ สังเกตจากอาการที่น้องปฏิบัติต่อตัวผมแล้ว ผมเข้าใจว่าน้องคงกำลังอารมณ์ไม่ดีค่อนข้างมาก...และบังเอิญ ผมก็กลายมาเป็นฐานรองรับอารมณ์ที่ว่านั้นพอดี ... เป็นเรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจบริการทั้งหลาย ที่ต้องมีมาตรการที่เด็ดขาดในการจัดการกับพนักงานที่มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ ...หลายครั้งที่อารมณ์ที่ไม่ปกติของพนักงาน ทำให้ Brand Equity ต้องเสื่อมเสียไปอย่างน่าเสียดาย ยิ่งโดยเฉพาะร้านที่มีลักษณะที่เป็นเครือข่ายหรือ Franchise ด้วยแล้ว, ผลกระทบที่มาจากการบริการที่มีปัญหา จะมากเป็นเท่าทวี ถ้าเป็นแบบที่มีผู้จัดการร้านหรือเจ้าของ Franchise ลงมาคุมเอง เวลามีปัญหาในเรื่องการบริการ ก็มักจะจบได้เร็ว แต่ถ้าได้ผู้จัดการมือใหม่หรือเจ้าของ Franchise เกิดของขึ้นด้วยพอดี รับรองว่าได้ทะเลาะกับลูกค้าอีกยาวเลย ... ดังนั้นแล้ว ก่อนจะทำการขยายสาขา หรือไปซื้อ Franchise อะไรมาทำก็ตาม ก็จำต้องเข้าใจและรับทราบถึงกรณีแบบนี...

Post#3-89: ภารกิจแห่งคนเป็น "พ่อ"

Post#3-89: เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...ผมขอเชิญ Fanpage ทุกท่าน ร่วมกันถวายพระพรครับ ... ขอเดชะฝ่าละอองธุลีปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบอารธนาคุณอันพิสุทธิ์แห่งองค์พระรัตนตรัย ตลอดจนอานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลพิภพ อีกทั้งพระเดชานุภาพแห่งองค์พระบูรพกษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุรีพระบาท ให้ทรงพระเจริญทุกทิพาราตรีกาล มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญ เพียบพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย หากทรงมีพระราชประสงค์จำนงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์สมพระราชหฤทัยปรารถนา สถิตเป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมปวงข้าพระพุทธเจ้าและพสกนิกรชาวไทย ตราบกาลนานเทอญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ... วันนี้ไปไหนมาไหน ก็เห็นว่าใครๆ ก็ไปกับพ่อ...ก็แน่นอนครับ เพราะวันนี้เป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ...ก็ถือเป็นวันที่โอกาสที่ลูกๆ จะได้แสดงความรักให้พ่อได้รับรู้...แม้ว่าในความเป็นจริง เราไม่ได้รักพ่อแค่วันเดียวเสียหน่อย แต่เท่าที่ผมสังเกตและสอบถาม ส่วนใหญ่ของคนเป็นพ่อ มักแสดงออกว่ารักไม่ค่อยเก่ง...และเช่นเดียวกั...

Post#3-88: Hello Phnom Penh

Post#3-88: "จ็มเรียบซัว" ครับ... วันนี้ ผมมีภารกิจต้องบินมาประชุมที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แบบไปเช้าเย็นกลับ เรียกว่าบินไป flight แรก และบินกลับ flight สุดท้ายเลย ว่างั้น ถ้าจำไม่ผิด ผมไม่ได้มาที่นี่กว่า 4 ปีแล้ว...ได้แต่บอกว่า กรุงพนมเปญเปลี่ยนไปมาก มากจนรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และหลักฐานของความเจริญที่ว่า...นั่นก็คือ "รถติด" และ "ห้างสรรพสินค้า" นั่นเอง แต่ High-light สำหรับผม ก็คือ...ที่นี่มี Showroom รถ Rolls-Royce ด้วยนะครับ O_o" ... เท่าที่ผมสอบถามลูกค้า การจราจรที่นี่เริ่มเหมือนบ้านเราเข้าไปทุกที คือติดมากๆ ในชั่วโมงเร่งด่วน ช่วงก่อนเข้างานและหลังเลิกงาน (ที่นี่ทำงาน 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น) แล้วที่ผมฟังแล้วต้องอมยิ้มก็คือ ที่นี่เค้าก็มี "วันศุกร์แห่งชาติ" เช่นกัน...ซึ่งผมโชคดีที่เป็นวันนี้พอดี และส่งผลให้ผมใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง (กับระยะทางแค่ 15 กิโลเมตร) มาถึง Airport ส่วนที่ผมทึ่งมากก็คือผู้ขับขี่ยานพาหนะที่นี่ ค่อนข้างมีทักษะสูงมาก เพราะ Lane ขับมันเพิ่มๆ ลดๆ ได้โดยอัตโนมัติ...เรี...

Post#3-87: เคี่ยวเข็ญ

Post#3-87: ช่วงสายๆ วันนี้ ผมมีอันต้องอัญเชิญทีมงานมาประชุมนอกสถานที่ เนื่องเพราะงานที่มอบหมายไปส่อเค้าว่าจะล้มเหลว แม้ผมจะย้ำไว้หนักหนาแล้ว ว่างานนี้สำคัญ แต่ก็ดูเหมือนว่า ทีมงานจะยังไม่รู้ซึ้ง และดูเหมือนว่าจะยังไม่มี drive (หรือแรงขับ) มากพอ อีกด้วย อดีตเจ้านายของผมท่านหนึ่ง ก็สอนไว้เสมอว่า "อย่าคิดว่าเด็กๆ จะเข้าใจความสำคัญของงานเท่ากับผู้บริหาร และถ้าเค้าทำผิดหรือพลาด เพราะเราหย่อนติดตาม ก็เป็นความผิดของเราเอง อย่าโทษเด็ก" ... หลังจากผมใช้เวลาอธิบายความสำคัญของงานกับทีมงานอยู่ครู่ใหญ่ๆ ผมก็ต้องอธิบายจุดประสงค์ของงานและแนวทางการทำงานซ้ำอีก ทั้งๆ ที่ตอนประชุมครั้งแรก ทุกคนก็พูดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าทราบครับว่าเป็นงานสำคัญ, เข้าใจค่ะว่าพลาดไม่ได้, ฯลฯ แม้ผมจะอ่อนใจกับทีมงาน แต่ก็เข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ที่ยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาวุฒิภาวะหลายๆ อย่าง...แต่ผมก็มั่นใจว่า พวกเค้ามีศักยภาพที่ยังไม่ได้แสดงออกมาอีกมาก ตกค่ำ ทีมงานมานำเสนองานใหม่...และพวกเค้าก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง ... จากเหตุการณ์วันนี้ ผมมั่นใจว่า เด็กๆ คงได้คิดและเข้าใจมากขึ้น...ว่าถ้าตั้งใจจ...

Post#3-86: วัชพืช

Post#3-86: ช่วงเย็นวันนี้ ผมมีโอกาสได้ประชุมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทที่ผมทำงานอยู่ด้วย ท่านให้ข้อคิดหนึ่งที่ผมคิดว่า อยากให้ลูกน้องทุกคนเอาไปคิดตาม...และหากปฏิบัติตามได้ด้วย ก็จะทำให้ชีวิตของคนนั้นๆ ก้าวหน้าต่อไป ท่านสอนว่า "จะทำอะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลต่อบริษัทฯ ให้คิดเสมือนว่า ถ้านี่เป็นบริษัทของเรา นี่เป็นเงินลงทุนของเรา เราจะยังทำแบบนี้มั๊ย" หมายความว่า เราต้องมุ่งมั่นตั้งใจให้มาก ไม่ใช่ทำงานไปวันๆ สิ้นเดือนก็รับเงินเดือน, อะไรไม่ใช่เรื่องในความรับผิดชอบ ก็ช่างปะไร, ขีดเส้นล้อมกรอบสร้าง Silo ของตัวเอง นำมาซึ่งความแตกแยกของแต่ละฝ่าย และอีกมากพฤฒิกรรมที่แย่ๆ...ซึ่งคนที่ทำแต่เรื่องแบบนี้ เจริญได้ยากครับ ... เมื่อวานผมก็พึ่งจะบ่นไปถึงการทำงานที่เอาแต่ตัวเองรอด คนอื่นจะเป็นยังก็ช่าง...วันนี้ ท่านผู้ใหญ่ก็เตือนไว้ไม่ได้ต่างกันเลย คนที่อยู่ในสถานะทั้งเป็นลูกจ้างและเป็นทั้งเจ้าของกิจการอย่างผม ย่อมจะกล้าพูดได้เต็มปากว่า ผมเข้าใจดีว่า ผู้ใหญ่ท่านกำลังสั่งสอนอะไรอยู่ ...บางครั้งผมจึงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่กึ่งกลางของความขัดแย้งของความเป็น...

Post#3-85: โรคประจำองค์กร

Post#3-85: ช่วง 2-3 วันมานี้ ผมปวดหัวมากกับการประสานงานภายในของทีมงาน...แม้จะยอมรับว่า มันเป็นปัญหาโลกแตกที่ไม่มีทางแก้ให้จบได้ แต่ก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้ บ่อยครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่า ทำไมเวลาให้ไปสรุปงานกันเองทีไร มันถึงออกมาโอละพ่อทุกทีไป เท่าที่ประมวลดูแล้ว ส่วนใหญ่ของความเข้าใจไม่ตรงกัน จะเกิดจากโรค "คิดเอง เออเอง" ซึ่งมักเป็นควบคู่ไปกับโรค "ก็รู้อยู่แล้ว" แต่ผมฟันธงได้เลยครับ...ว่าไม่ใช่แค่บริษัทของผมบริษัทเดียวแน่ๆ ที่เจอปัญหาแบบนี้ ... เวลาปล่อยให้เด็กๆ ประชุมกัน จึงมักลงเอยด้วยความเข้าใจที่ไม่ตรงกันเสมอ เป็นเพราะเวลาประชุม จะมีอยู่แค่ 2 ฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งที่กำลังพูด และอีกฝ่ายที่รอจะพูด...หรือสรุปแล้ว คือไม่มีฝ่ายที่ตั้งใจจะฟัง เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ฟัง...มันก็เป็นของแน่ ที่งานจะออกมาเละ และเมื่อโดนเจ้านายตำหนิ...ต่างฝ่ายจึงต่างโทษกันไปมา ปัญหาก็ล้วนเกิดจาก ก็เมื่อไม่ฟัง เพราะนึกว่า "รู้อยู่แล้ว" คงเป็นเรื่องเดิมๆ กับเพราะไม่ฟัง ก็ไม่เข้าใจ และไม่ใส่ใจจะถาม จึงต้องไป "คิดเอง เออเอง" นั่นไงครับ ... เมื่อคนหลายคนอยู่บ...

Post#3-84: เรียนเชิญผู้อาวุโสกว่า...ไปร่วมงาน

Post#3-84: เมื่อครู่ใหญ่นี้เอง ผมบังเอิญได้เจออดีตลูกน้องที่ Community Mall แห่งหนึ่ง, ดีใจที่น้องเข้ามาทักทายด้วยความยิ้มแย้ม พร้อมกับเอ่ยปากชวนไปงานแต่งงาน ^^ ก็รับปากน้องไปว่า ถ้ามีการ์ดมาเชิญ มีหรือที่จะไม่ไป, ยิ่งรู้ว่าน้องรักกันมาเนิ่นนาน ยิ่งอยากจะไปร่วมแสดงความยินดีด้วยจริงๆ สอบถามข้อมูลวันและเวลาคร่าวๆ เพื่อลงตารางนัดกันพลาดแล้ว ผมก็ขอตัว เพราะกำลังประชุมติดพันอยู่ ... เดือนนี้และเดือนหน้า ถือเป็นช่วงทองของงานแต่งงานเอาเสียจริงๆ เพราะผมได้รับเชิญมาแล้วมากกว่า 5 งาน แต่ละงานมีวิธีเชิญแขกเหรื่อที่แตกต่างกันไป...ซึ่งบางวิธีผมเองก็คิดว่ามันออกจะไม่ถูกกาลเทศะเอาเสียเลย เพราะทำให้แขกรู้สึกว่าตนด้อยความสำคัญ ที่ผมรับไม่ได้เอาจริงๆ ก็คือการเชิญแขกที่มีอาวุโสมากกว่าคู่บ่าวสาวผ่านทาง Facebook และ Line ไม่รู้สิครับ...มันให้อารมณ์ประมาณ "กรูบอกเมิงแล้ว จะมาก็มา ไม่มาก็ช่าง"...ประมาณนี้ ... ต้องออกตัวก่อนว่า ผมและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นพวก anti-technology แต่อย่างใด...หากแต่ผมคิดว่า การให้เกียรติแก่ผู้มีอาวุโสกว่าเป็นเรื่องที่ "คนไทย" ไม่ควรมองข้...

Post#3-83: ดื้อ vs เป็นตัวของตัวเอง

Post#3-83: อย่างที่ผมเคย share ไว้หลายครั้ง ว่าเด็กสมัยนี้ มีความคิดเป็นของตัวเองค่อนข้างสูง ไม่ได้เป็นประเภทต้องคิดหรือเชื่อเหมือนพ่อหรือแม่ไปเสียทุกเรื่อง จากการถามและสังเกตครอบครัวรอบๆ ตัว ทุกคนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า มันใช่...และแน่นอนว่า ลูกสาวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ไอ้ที่คาดหวังว่า บอกให้เด็กๆ เค้าทำอย่างนั้น โน้น นี้ แล้วเค้าจะทำทันที หรือทำตามที่เราบอกทุกกระเบียดนิ้วน่ะ เห็นทีว่าอาจจะเป็นไปแทบไม่ได้เอาเลยทีเดียว ... ว่ากันตามจริงแล้ว มันก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ระหว่างการเป็นตัวของตัวเอง กับการดื้อ ^^ หลังจากว่างเว้นจากการตั้งคำถามมานาน ผมก็ขอถามว่า แล้วอะไรล่ะที่ทำหน้าที่เป็นเส้นบางๆ ที่ว่านั้น...ให้เวลาคิด 5 นาทีครับ ... สำหรับผมแล้ว เส้นบางๆ นั้น มีชื่อเรียกว่า "เหตุผล" เพราะถ้าการที่เด็กเลือกจะทำตามความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจเหตุผลและความเป็นไปของผู้คนรอบข้างเลยละก็...ผมจะตีความว่า นั่นคือ "ความดื้อ" ตรงกันข้าม ถ้าการเลือกจะทำอะไรตามความต้องการของตัวเค้า แล้วมันเต็มเปี่ยมไปด้วยเหตุผลที่มี "ตรรกะ" และ "กาลเทศ...

Post#3-82: เพื่อนร่วมก๊วน

Post#3-82: เช้านี้ผมมีโอกาสไปออกรอบกับกลุ่มเพื่อนที่เคยออกรอบด้วยกันประจำทุกสัปดาห์เมื่อ 2-3 ปีก่อน...ซึ่งตามภาษากอล์ฟ เราจะเรียกว่า เป็น "เพื่อนร่วมก๊วน" นั่นเอง หลังๆ มานี้ ต่างคนต่างมีภารกิจมากมาย ก็เลยห่างๆ กันไป ได้แต่ทักทายกันทาง Line บ้าง หรือเจอกันบ้าง แต่ก็น้อยเต็มที การออกรอบครั้งนี้ จึงสำคัญกับผมมาก เพราะมันเหมือนงานคืนสู่เหย้ากลายๆ และเป็นการย้อนบรรยากาศกลับไปช่วงที่ผมเล่นกอล์ฟแล้วมีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่ง ... สำหรับผม นอกไปจากการได้อยู่กับครอบครัวแล้ว ก็มีกอล์ฟนี่แหละครับ ที่ถือได้ว่าเป็นความสุขที่สุด...และจะเป็นความสุขยิ่งกว่า หากว่าได้เล่นกอล์ฟกับคนที่เราคุ้นเคย คงเหมือนๆ กับที่สาวๆ ได้ไปเดิน shopping กับเพื่อนที่รู้ใจ ไม่ต้องคอยเกรงใจกันมาก เดินไหนเดินด้วย เข้าร้านไหนก็ว่าตามกัน ประมาณนั้น ดังนั้น การออกรอบเมื่อเช้านี้ จึงทำให้ผมเล่นกอล์ฟด้วยอารมณ์ที่สดใสมากอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มานาน...เมื่อใจสบาย การเล่นในวันนี้ จึงถือว่าได้คะแนนดีกว่าที่เคยได้ทำได้ในช่วงปีหลังๆ ... เพื่อนที่รู้ใจ จึงนับเป็นแรงหนุนให้เราทำอะไรได้อย่างมีความสุขอย่างยิ่ง...

Post#3-81: งอนจนเกินงาม

Post#3-81: หลายต่อหลายโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น บางครั้งก็เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบแว่บเดียวจริงๆ และมากครั้งที่หลังจากปล่อยอารมณ์ชั่ววูบนั้นออกไปแล้ว กลับทำให้คนๆ นั้น ตกอยู่ในภาวะ "หาทางลงไม่ได้" จึงต้องเลยตามเลย ปล่อยตามน้ำไป...และนำพาไปสู่โศกนาฏกรรมที่ว่า โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์ที่ว่า เกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ ที่มักจะไม่ยอม "เสียหน้า", อารมณ์ประมาณ "ฆ่าได้ หยามไม่ได้" ... เคยมั๊ยครับ ที่บางครั้งเพื่อนแซวเล่นๆ แต่เราดันลืมตัวโกรธเกินงาม เพื่อนมาง้อก็แล้ว ขอโทษก็แล้ว ก็ยังอุตส่าห์งอนต่อ ใจจริงน่ะ ไม่ได้โกรธแล้ว แต่ act ไปงั้นเอง, และดัน act จนเพื่อนงอนและเลิกง้อ และสุดท้ายเพื่อนก็โกรธความงี่เง่าของเรา และพาลกลายเป็นโกรธกันจริงๆ ไปเลย เราเองที่งอนเกินงามไปแล้ว แทนที่จะสำนึก แต่กลับรักหน้ามากกว่าเพื่อน จะไปขอโทษขอโพยก็กลัวเสียหน้า...สุดท้ายก็เสียเพื่อน เท่านั้นยังไม่พอ...ลองคิดต่อไปว่า ถ้าใครมาถามเพื่อนเราว่า "โกรธกันทำไม" แล้วเพื่อนเล่าความจริงให้เค้าฟัง ถามว่า ใครจะเป็นฝ่ายเสียครับ? ... ก็เพราะแค่อยากจะรักษา ego ที่ไม่เข้าท่า ก็ทำให้เสียทั้งเพ...

Post#3-80: Love Me Love My Pet

Post#3-80: ระหว่างนั่งดู TV หย่อนอารมณ์ หลังจากกลับจากประชุมเคร่งเครียดมาทั้งวัน...ฉับพลัน ภรรยาของผมก็มาแจ้งข่าวไม่ดี ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า...เจ้าหมาน้อยสุดที่รักดูท่าจะไม่สบายเอาการอยู่ ผมจึงมีอันต้องระเห็จออกจากบ้าน เพื่อเป็นสารถีพาทั้งคุณเธอและคุณหมาไปหาคุณหมอ...อย่างด่วน ... ว่ากันตามจริง, ผมว่าสัตว์เลี้ยงกับเด็กทารกอยู่ในหมวดเดียวกัน ในด้านของความยากต่อการทำความเข้าใจ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะเกิดอาการ "ใบ้รับประทาน" เหมือนผม เมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ ด้วยว่าเราแยกไม่ออกเอาจริงๆ ว่า ที่ร้องไห้น่ะ จะเอาอะไรจ๊ะ? เช่นเดียวกับเวลาที่สัตว์เลี้ยงของเราเห่าหรือร้อง เราก็ได้แต่เดาว่า พี่เค้าจะเอาอะไรหรือกำลังสื่ออะไรกับเรากันหนอ? ... แม้ว่าสัตว์เลี้ยงและเด็กทารกจะมีปัจจัยร่วมบางอย่าง แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การเลี้ยงสัตว์นั้นต่างจากการเลี้ยงเด็กมาก เลี้ยงเด็ก...วันหนึ่งเค้าก็จะเติบโตและพึ่งพาตนเองได้ แต่เลี้ยงสัตว์น่ะ...ไม่มีวันไหนที่เจ้าพวกนี้ จะพึ่งพาตัวเองได้ ดังนั้น เราจึงต้องคิดให้มากหากจะมีสัตว์เลี้ยงเข้ามาในชีวิต สัตว์เลี้ยงเป็นอะไรที่ Nice to have, ...

Post#3-79: USP

Post#3-79: USP เมื่อวานนี้ ผมมีโอกาสได้ไปประชุมกับลูกค้าใหญ่รายหนึ่ง เพื่อไปนำเสนอแผนการตลาดและแผนการขายสินค้า แน่นอนว่า ผมก็ได้รับทั้งข้อคิด, ข้อติติง และข้อเสนอแนะมากมาย จากการประชุมที่ว่า แต่หนึ่งในคำถามสำคัญที่คนค้าคนขายต้องทบทวนให้ดีก็คือ...ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าของเรา? (What is the reason to buy your product?) ... จริงๆ แล้วคำถามนี้สุดแสนจะเรียบง่าย และตรงไปตรงมา แต่ผมรับประกันได้ว่า ใครก็ตามที่ต้องมาตอบ ต่างก็บอกว่า ตอบได้ยากจริงๆ ...ค่าที่มุมมองที่เรามีต่อสินค้าของเรา กับมุมมองในฝั่งของลูกค้านั้นแตกต่างกัน... เราอาจจะคิดว่าสินค้าของเรามี "จุดขาย" ที่ดีเลิศ...ในขณะที่ลูกค้าอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับจุดขายที่เรามี ก็เป็นได้ ... ความต่างระหว่างมุมมองของทั้งสองฝ่ายนี่แหละครับ ที่เป็นโจทย์สำคัญที่ทั้งนักการตลาดและนักขาย จะต้องตอบให้ได้ ที่ถูกแล้ว เราควรนำเสนอสินค้าแต่ในมุมที่เราอยากนำเสนอ...หรือว่าเราควรนำเสนอสินค้าในมุมที่ลูกค้าอยากได้ยิน? ถ้าตอบอย่างแรก...สินค้าของเราต้องมีความแตกต่าง (หรือที่ทางการตลาดเรียกว่า Unique Selling Proposition - USP) ในระดับสูง...

Post#3-78: สร้างภาพตอนสัมภาษณ์

Post#3-78: เมื่อเย็นที่ผ่านมา ผมแนะนำให้อดีตลูกน้องท่านหนึ่ง มาสัมภาษณ์งานกับ Partner ชาวต่างชาติของผม ผมชอบเวลาที่ฝรั่งถามคำถาม พอๆ กับชอบลุ้นว่าผู้ถูกสัมภาษณ์ชาวไทยจะตอบยังไง? ด้วยความต่างของวิธีคิดและความเข้าใจในสภาพตลาดของบ้านเรา ทำให้ผู้ตอบจะต้องคิดวิธีตอบให้ผู้ถามเข้าใจในคำตอบได้ชัดเจน และที่สำคัญต้องรวดเร็ว ทั้งนี้ เพราะความเร็วในการตอบคำถาม จะเป็นตัวกำหนดระดับความพึงพอใจของผู้ถามด้วย ... หลายครั้งที่การสัมภาษณ์งาน มักจบลงด้วยความล้มเหลว เพียงเพราะเหตุที่ผู้มาสัมภาษณ์มักมัวแต่ใช้เวลาคิดคำตอบที่ดูดีจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งานในตำแหน่ง Junior หรือ Management, ผู้มาสัมภาษณ์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินงาม ที่จะต้องมัวมาสร้างภาพให้ตัวเองดูดีหรอกครับ เป็นตัวของตัวเองในวิธีคิด แต่ต้องแสดงออกอย่างอ่อนน้อม...ก็เท่านั้น ... อย่าลืมนะครับ ว่าการสัมภาษณ์งานแล้วผ่านน่ะ มันไม่ใช่เส้นชัย แต่เป็นแค่ปากทางเท่านั้น มัวแต่สร้างภาพให้ดูดีเกินจริง พอเริ่มทำงานแล้ว "ดีแตก" ก็มีหวังไม่ผ่านโปรฯ อยู่ดี ดังนั้น รับปากอะไรไว้ตอนสัมภาษณ์ ก็จงต้องส่งมอบในสิ่งที่รับปากไ...

Post#3-77: เจริญอนุสสติ

Post#3-77: ช่วงนี้ไปไหนมาไหน หรือเปิดสื่ออะไรก็ตาม เป็นต้องได้ยินและได้รับรู้แต่เรื่องข่าวการป่วยของคุณปอ ทฤษฎี ผมเองไม่ใช่แฟนละคร จึงไม่ค่อยรู้จักดาราหรือนักแสดงมากเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้น ก็อดไม่ได้ ที่ต้องขอเป็นอีกหนึ่งในคนไทยหลายล้านคน ที่จะส่งแรงใจไปช่วยคุณปอ จำได้เลาๆ ว่า ก่อนที่คุณปอจะป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล ผมยังเห็นคุณปอให้สัมภาษณ์ผ่านรายการบันเทิงรายการหนึ่ง...แล้วแค่ 2-3 วันถัดมา ผมก็มาได้ยินว่า คุณปอป่วยหนักถึงขั้นวิกฤตเสียแล้ว ... เรื่องของคุณปอนั้น ช่วยเตือนใจเราได้เป็นอย่างดี ถึงความอนิจจังของชีวิต...วันนี้สบายดี แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะป่วยหนักหรือไม่ หรือเรื่องของคนรู้จักของผมที่เสียชีวิตอย่างกระทันหันจากอุบัติเหตุ (Post#2-146)...ที่ย้ำเตือนว่า พรุ่งนี้กับชาติหน้า ยังไม่รู้ว่าอะไรจะมาถึงก่อน ที่เค้าว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน...ก็คงเป็นแบบนี้นี่เอง ... แน่นอนว่า ถ้าเรารู้ล่วงหน้าว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา...เราก็คงหาวิธีป้องกัน หรืออย่างน้อยก็คงหาทางผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ทันท่วงที แต่ชีวิตจริงนั้น พรหมลิขิตมิได้เอื้อให้เราทำเช่นนั้นได้เลย...และพรหมลิ...

Post#3-76: Confidence

Post#3-76: ใครๆ ก็รู้ดีว่า การจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ นั้น เป็นเรื่องไม่ง่าย นอกเหนือไปจากจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะทำแล้ว ยังจะต้องมี Passion เป็นสำคัญด้วย ส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างที่จำเป็นจะต้องมี เพื่อให้สามารถเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้ ก็คือ "ความมั่นใจ" ... ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นจะต้องมีการคิด, ไตร่ตรอง และกำหนดออกมาเป็นแผนงานเสียก่อน หากแต่ถ้าความมั่นใจนั้น เกิดจาก Gut Feeling เพรยงเท่านั้น โดยไม่อาจเขียนเป็นแผนงานได้, สำหรับผมแล้ว มันออกจะเลื่อนลอยเกินไปเสียหน่อย และผมจะนิยาม การที่เราไม่มีแผนงานรองรับ Gut Feeling นั้น ว่า "ความเพ้อฝัน" เราเคยคุยกันไว้นานแล้ว ว่าเราอาจจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะลงมือ แต่หากเมื่อตัดสินใจว่าจะลงมือแล้ว จะต้องไม่มีคำว่า "ลังเล" ถ้าเราปล่อยให้ใจ "แกว่ง" แบบไม่สิ้นสุด เราก็จะไม่มีวันเริ่มอะไรได้ เพราะมัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา กล้าๆ กลัวๆ อยู่นั่นแล้ว ดังนั้น จงเคารพและมั่นใจในการตัดสินใจของเราเอง หากว่าเราได้ใช้เวลาในการคิดและไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว ... ฝรั่งนิยามคำว่า ...

Post#3-75: ร่วมสังสรรค์เพื่อหยั่งคน...สนทนาเพื่อหยั่งใจ

Post#3-75: ช่วง 2 - 3 เดือนมานี้ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ จึงส่งผลให้ผมมีเหตุต้องไปร่วมสังสรรค์ร่ำสุราอยู่บ่อยครั้ง เคยคุยให้ฟังแล้วครับว่า มากต่อมากครั้ง ที่การเจรจาธุรกิจมักจะไม่ได้จบที่โต๊ะประชุม หากแต่จบเมื่อเกิดความรู้จักมักคุ้นและเกิดความสนิทกันในระดับหนึ่ง งานสังสรรค์ร่ำสุรา ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เอื้อต่อบรรยากาศที่ว่า ... หากเป็นดีลธุรกิจที่สำคัญ...ผมขอตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เรามิอาจจะมองข้ามในเรื่องของ สถานที่และจังหวะในการปิดดีลธุรกิจนั้นๆ ขณะที่ยังปิดดีลไม่ได้ แต่ลูกค้าตอบรับคำเชิญมาร่วมทานมื้อเที่ยงหรือมื้อค่ำกับเรา จึงถือเป็นการเปิดโอกาสอย่างแท้จริง ระหว่างมื้ออาหาร มักเป็นช่วงที่ลูกค้าเอง ได้ใช้ในการ "หยั่ง" นิสัยใจคอ และประเมินถึงวิธีคิดของเรา ไม่ต้องมัวไปเสแสร้งแกล้งทำหรอกครับ...ถ้าเป็นดีลระดับที่ต้องมีการเชิญมานอกสถานที่แบบนี้ คนที่มาล้วนเป็นระดับที่มีวิจารณญาณในการวิเคราะห์คนมาเป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงต้องโอภาปราศรัยด้วยน้ำใสใจจริงของเรา เปิดเผย เป็นกันเอง (แต่ไม่ใช่ตีสนิท) และที่สำคัญ ต้องคุมสติให้ดี...เผลอไผลไร้สติ เราอาจ "จบ" ได้ทันที ....

Post#3-74: ก้าวแรก

Post#3-74: Marianne Williamson (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณ ชาวอเมริกัน) แสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่อง ความคิด, ความกลัว และความเชื่อ ไว้ดังนี้ครับ "Nothing binds you except your thoughts. Nothing limits you except your fears. And Nothing controls you except your beliefs." แปลว่า... "ไม่มีอะไรมัดตรึงเราได้ นอกจากความคิดของเราเอง ไม่มีอะไรจำกัดเราได้ เว้นแต่มันเป็นความกลัวของเรา และไม่มีอะไรจะควบคุมเราได้ หากมันมิใช่ความเชื่อของเรา" ... จริงสินะ...หลายครั้งที่คนเรามักถูกยึดให้อยู่กับที่ เพียงเพราะความคิดหรือความกลัวของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มักจะเป็นในตอนที่เราเริ่มจะคิดจะทำอะไรที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เชี่ยวชาญ...ทันทีนั้น ในหัวของเรามักจะมีแต่คำว่า "ถ้า" อยู่เต็มไปหมด คงเป็นอย่างที่ Marianne ว่าไว้... ถ้าความเชื่อของเราไม่มากพอ...เราก็ไม่อาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ และหากเราไม่ยอมคุยกับตัวเองให้เกิดความเชื่อมั่น ความคิดแบบนี้ของเรานั่นเอง ที่จะกลายเป็นบ่วงรัดให้เราติดอยู่กับความกลัวนั้นไปเรื่อยๆ ... ก้าวแรกมักเป็นก้าวที่ยากที่สุดเสมอ.....

Post#3-73: Know Who

Post#3-73: ช่วงบ่ายวันนี้ผมมีโอกาสไปนำเสนอสินค้าใหม่ ให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง...และที่ผมได้โอกาสดีๆ เช่นนี้ ก็เพราะรุ่นพี่ของผม ที่ทำการค้าขายกับลูกค้าท่านนี้มาอย่างยาวนาน เป็นผู้แนะนำให้ ตอนหนึ่งของการสนทนา...ลูกค้าท่านนี้พูดได้อย่างน่าฟังว่า "เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง...เรื่องความเป็นไปได้ทางการค้าก็อีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องแยกออกจากกัน" ฟังแล้ว อาจดูเหมือนกับว่า ความสัมพันธ์ส่วนตัว จะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะสุดท้ายก็อยู่ที่เรื่องผลประโยชน์อยู่ดี ใช่มั๊ยครับ? แต่จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า หากไม่ได้อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่เก่าก่อน มีหรือที่ผมจะมีโอกาสได้มานำเสนอสินค้า โดยลัดขั้นตอนไปคุยกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจได้เลยเช่นนี้ ... ความจริงแล้ว การอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเอื้อประโยชน์ในงาน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาช้านานสำหรับชาวเอเซีย...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนไทย อย่างที่เค้าเรียกว่า "Know Who" นั่นล่ะครับ การมี "Know Who" ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การใช้ "Know Who" ผิดๆ นั่นเอง ที่เป็นปัญหา ... เราใช้ ...

Post#3-72: App แต่งรูป

Post#3-72: ไม่น่าเชื่อว่า การที่ใครคนหนึ่งใช้ app ตบแต่งรูปถ่าย จะทำให้ชีวิตของผมได้รับผลกระทบได้ด้วย? เหตุเกิดเพราะ หลายวันก่อน ผมต้องไปประชุมกับลูกค้าท่านหนึ่ง...ไปถึง Office ของเธอ แล้วผมก็แจ้ง Reception ตามธรรมเนียม แต่พอโดนถามว่า "ชื่อจริงชื่ออะไร, แผนกไหนคะ?"...ผมตอบไม่ได้...ด้วยความที่เรียกกันด้วยชื่อเล่นมาตลอด เลยทำให้จำชื่อจริงไม่ได้...ผมโทรหาเธอก็ไม่รับสาย และแน่นอนว่า Line ไปก็ไม่ตอบ ... ไวเท่าความคิด, ผมตัดสินใจโชว์รูป Profile ของเธอ (ใน Line) ให้ Reception ดู...เพียงเพื่อจะได้คำตอบว่า "ไม่คุ้นเลยพี่" O_o" ทีแรกผมนึกว่าเธอแกล้งพูด แต่เธอดูรูปอยู่นาน ก็บอกผมแต่ว่า เธอไม่รู้จักจริงๆ และเธอก็อยู่บริษัทนี้มาหลายปี (เธอบอกครับ ผมไม่ได้เผือกถาม) ...ส่วนลูกค้าที่ผมไปพบ ก็เป็นระดับ Junior Management ที่ทำงานที่นี่มานานพอควรแล้วเช่นกัน ผมทำอะไรไม่ได้มากกว่ารอ...และ 15 นาทีต่อมา เธอกระหืดกระหอบออกมารับ พร้อมขอโทษขอโพยที่ไม่ได้รับสาย ส่วน Reception ทำท่าจะเอ่ยทักว่า "อ้าว...พี่เองหรอ"...ดีแต่ว่า ผมหันไปเห็นพอดี และส่งสัญญาณให้เธอเงีย...

Post#3-71: ป่วยกาย...อย่าพาลพาให้จิตป่วย

Post#3-71: ช่วงสามวันที่ผมป่วย สารภาพเลยครับว่าจิตใจมันไม่ปกติเท่าที่ควร และรู้ตัวเลยว่า ภูมิต้านทานความหงุดหงิดของผม มันลดต่ำลงถึงขีดสุด ผมเชื่อว่า หลายๆ คนก็คงเคยมีอารมณ์แบบนี้ เป็นอารมณ์แบบลูกโป่งที่พองลมมากๆ เรียกว่าสะกิดโดนหรือแค่แตะเบาๆ ก็แตก เวลาผมเป็นแบบนี้ ผมเลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ผมจะเลือกใช้การ Chat แทนการคุยโดยตรง ... ในยามที่สติอ่อนกำลังด้วยโรคาพยาธิทั้งหลาย ผมมักเตือนให้ตัวเองทบทวนหลายๆ รอบก่อนจะพูด จะถาม หรือจะโต้ตอบ... ดังนั้น การ chat จึงช่วยผมได้มาก เพราะขณะที่จิ้มแป้น keyboard นั้น สมองของเราจะโดนบังคับให้คิดโดยอัติโนมัติ ...และนั่นแปลว่า เรามีโอกาสที่จะทบทวนสิ่งที่เราคิด, กลั่นกรอง และแก้ไขคำพูดของเรา ก่อนจะกดส่งไป ซึ่งดีกว่าที่เราจะใช้การพูด ที่เมื่อหลุดออกไปแล้ว ก็มักจะแก้ไขไม่ได้ ... ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพก็เคยสอนไว้...ว่าถ้ารู้ว่า พูดไปแล้ว มันกลายเป็นผลลบมากกว่าผลบวก ก็สู้ไม่พูดจะดีกว่า บางครั้งคำพูดที่โดนมิจฉาอารมณ์ครอบงำ มันก็อาจจะสร้างผลเสียอันมหาศาลได้เกินกว่าที่เราจะคิดไปถึง ป่วยกา...

Post#3-70: ป่วยเพราะประมาท

Post#3-70: หลังจากกลับจากหาหมอเมื่อวานนี้แล้ว ผมรู้สึกเจียมตัวกับการเป็น "คนป่วย" อยู่เป็นอันมาก และทำให้ผมเลือกที่จะ "พัก" โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนอนและนอน แม้วาจะได้พักแทบทั้งบ่ายของเมื่อวาน แต่วันนี้ ผมก็ยังงัวเงียตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก เพียงเพื่อตื่นมารับฎีกาของร่างกายที่ร้องทุกข์ว่า "พักต่อเถอะ" ด้วยความอ่อนล้าที่สะสมมานาน เมื่อโดนอาการป่วยเพียงเล็กน้อยจู่โจม ก็ทำให้คนเราอ่อนแอได้แบบไม่น่าเชื่อ...และอาจจะฟังดูแปลกๆ แต่วันนี้กลับเป็นวันที่ทำให้ผมรู้สึกขอบคุณอาการป่วยอยู่ไม่น้อย ค่าที่ว่า ถ้าไม่ป่วย ผมก็มักไม่ค่อยจะรู้จัก "หยุด" อยู่เฉยๆ บ้าง ... อาการที่ร่างกายร้องทุกข์นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างจากรอยกระเทาะของเขื่อน...และถ้าไม่รีบซ่อมแซม ก็มีหวังว่ารอยกระเทาะเล็กๆ นั้น จะนำไปสู่ความพังทลายของเขื่อนได้ในอนาคต ผมไม่เชื่ออาการร้องทุกข์ที่ว่า...ทำงานมากกว่าหยุดพัก ดังนั้นเมื่อร่างกายอ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย รอยกระเทาะที่ว่า จึงทำให้ผมต้องมานอนอยู่แบบนี้ ผมคงใช้ชีวิตประมาทเหมือนชีวิต "มนุษย์เมือง" ส่วนใหญ่ คือคิดถึงก...

Post#3-69: ความล้มเหลวของการตลาดสร้างมูลค่า

Post#3-69: เมื่อเช้าวานนี้ ผมตื่นขึ้นพร้อมกับอาการเจ็บตาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็คิดว่า ปล่อยไว้สักพักก็คงจะหายไปเอง ตกสาย อาการเจ็บตาผมก็ยังไม่ดีขึ้น ประเมินแล้ว คงต้องไปหาหมอถ้าจะดีกว่า...แต่ด้วยธุระปะปังพร้อมกับนัดคุยงานช่วงเย็นๆ ทำให้ผมยังไม่สามารถปลีกเวลาไปได้ แม้ว่าตื่นมาเช้าวันนี้ ผมจะรู้สึกว่าอาการเจ็บตาดีขึ้นมาก แต่ก็ไม่อยากประมาทเหมือนที่เคยปล่อยปละตัวเองในอดีต...สายๆ ของวันนี้ ผมจึงพบตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ... ธุรกิจโรงพยาบาลเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากยุคสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วค่อนข้างมาก จากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากเพียงการรักษาและค่าเวชภัณฑ์...มาในปัจจุบันมีการเติมเรื่องการตลาดสร้างมูลค่าเข้ามา จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ผมไม่ได้ตำหนิในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับค่ารักษาและค่าบริการ แต่ผมเบื่อหน่ายในการพยายามที่เยิ่นเย้อในกระบวนการก่อนพบแพทย์ บางครั้งสิ่งที่ผู้บริหารวาดฝันไว้ กับสิ่งที่ทีมงานลงมือปฏิบัติจริงนั้น อาจจะต่างกันแบบสุดขั้วโลก...เช่นเดียวกับความพยายามจะทำให้คนไข้รู้สึกว่าได้รับการเอาใจใส่ กลับกลายเป็นการทำงานแบบขอไปที ... ยกตัวอย่างของคำถา...

Post#3-68: หาคู่เทียบให้ชีวิตก้าวหน้า

Post#3-68: แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การที่เราจะใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขที่สุด ก็คือการมีชีวิตอยู่โดยไม่คิดแข่งขันหรือเปรียบเทียบกับคนอื่น... แต่บางครั้งการที่เราไม่มีคู่แข่งหรือคู่เปรียบเทียบเอาเสียเลย ก็อาจจะทำให้ชีวิตเราย่ำอยู่กับที่ได้เหมือนกันครับ สำหรับผมแล้ว...ความยากของการไม่ทำให้ชีวิตเราเรื่อยเฉื่อยจนเกินไป และไม่เที่ยวอิจฉาคนอื่นจนเกินงาม จึงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของคนเราอยู่เหมือนกัน ... หากเราเข้าใจขอบเขตของความเรื่อยเฉื่อยและความเกินงามแล้ว...การหาคู่เทียบหรือคู่แข่งให้กับชีวิต ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่แย่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม ผมคิดว่า การหาคู่เทียบ ก็ถือเป็นสีสันให้กับชีวิตได้อย่างน่าดู เพราะถ้าเราเลือกใช้ประโยชน์จากคู่เทียบให้กลายเป็นแรงผลักดัน แล้ว...ก็จะทำให้เรามีเป้าหมายเล็กๆ ที่เราอยากจะไปให้ถึงได้ แต่เพื่อไม่ให้เราล้ำเส้นของการหาคู่เทียบไปจนเกินงาม เราจึงอาจต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า... เราเทียบเพื่อให้เป็นเป้าหมายสำหรับการพัฒนา ไม่ใช่เพื่อการเอาชนะ ... ฟังดูอาจจะเหมือนผมพูดกำกวม แต่แท้ที่จริงแล้ว การตั้งคู่เทียบให้เป็นเป้าหมายนั้น จุดมุ่ง...

Post#3-67: ย่ำตลาดกลางกรุงย่างกุ้ง

Post#3-67: ภารกิจของผมเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า กับการประชุมสรุปแผนงานร่วมกับลูกค้า หลังจากที่เมื่อวานใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงในการสำรวจตลาด ทุกครั้งที่ผมลงพื้นที่สำรวจตลาด ไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม แม้ว่าจะต้องเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่แลกมาด้วยข้อมูลจริงที่หาไม่ได้จากใครอื่น แม้ว่าจะใช้ทีมสำรวจตลาดที่เชี่ยวชาญพื้นที่เพียงใดก็ตาม พวกเค้าก็ไม่อาจจะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างช่องทางการขายและสินค้าของเรา ได้ดีเท่าเราอย่างแน่นอน ... สำหรับการตลาดสมัยใหม่ การลงพื้นที่จริงก่อนที่จะสรุปแผนการขายและการตลาดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นการทำตลาดข้ามประเทศ... เหตุเพราะแผนที่วางไว้นั้น จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติหรือไม่ เราก็จะได้ทดสอบในขั้นนี้นี่เอง...อย่าลืมว่าแผนการตลาดที่เคยสำเร็จในประเทศหนึ่ง อาจจะใช้ได้ดีเหมือนกัน หรืออาจจะใช้ไม่ได้เลย ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น น่าเสียดายที่หลายๆ บริษัทฯ ที่ไปทำตลาดในต่างประเทศ มักจะละเลยรายละเอียดในขั้นตอนนี้ โดยอาศัยเพียงคำแนะนำจาก Distributor หรือ Partner มากกว่าจะลงพื้นที่จริง ... ถึงตรงนี้ ก็ยังไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่า ทุ...

Post#3-66: เมียนมาร์อีกครา

Post#3-66: ผมพบตัวเองอยู่ที่กรุงย่างกุ้งอีกครั้ง เพื่อมาร่วมประชุมกับลูกค้า เพื่อที่จะช่วยกันวางแผนการตลาดและการขาย อาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อย นะครับ ที่ผมจะบอกว่า ผู้คนที่ประเทศนี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ผมรู้สึกว่า พวกเค้ามีความเอื้อเฟื้อและถ้อยทีถ้อยอาศัยมากกว่าประเทศอื่นๆ แน่นอนว่า ผมไม่ได้สังเกตจากแค่คนใกล้ๆ ตัวที่ทำธุรกิจอยู่ด้วยกันเท่านั้น หากแต่ผมหมายรวมถึงผู้คนที่ผมเฝ้าสังเกตขณะออกสำรวจตลาดมาทั้งวัน ... แม้ว่าเจ้าของร้านจะยุ่งอยู่กับการขายของ แต่ทุกๆ ร้านที่ผมไปเยี่ยมเยียน ไม่มีการหน้าบึ้งหน้างอใส่ ต่างก็ทักทายโอภาปราศรัย และยินดีให้ข้อมูลและตอบคำถามโดยไม่เกี่ยงงอน เวลาพวกเค้าสนทนากับทีมผม ผมรู้สึกได้เลยว่า พวกเค้าตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เราถามมากๆ ทั้งสบตาและพยักหน้าเป็นพักๆ ผมมาที่กรุงย่างกุ้งนี้ แม้ไม่ถี่แต่ก็เรียกว่าไม่น้อยครั้ง และทุกครั้งผมก็รู้สึกว่าผู้คนที่นี่น่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ... ถ้าเทียบความเจริญแล้ว กรุงย่างกุ้งอาจเทียบกับบ้านเราไม่ได้...แต่ถ้าเทียบความเอื้อเฟื้อและโอภาปราศรัยแล้ว ผมต้องขอโทษที่จะต้องบอกว่า บ้านเราเทียบที่นี่ไม่ได้เลย ในปร...

Post#3-65: ไล่บี้

Post#3-65: เคยโดนถามคำถามแบบ "ไล่บี้" จนโกรธมั๊ยครับ? ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทั้งเคยถูกไล่บี้จนโกรธ กับไล่เบี้ยจนอีกฝ่ายโกรธมาแล้ว อย่าพึ่งโกรธนะครับ...ถ้าผมจะถามว่า "แล้วทำไมจะต้องโกรธด้วยล่ะ?" ผมให้เวลาลองค้นหาคำตอบดูครับ...3 นาที พอมั๊ยเอ่ย? ... จากประสบการณ์ของผมเองแล้ว...เวลาที่เราโกรธเพราะโดนไล่บี้ เกิดจากแค่ 2 สาเหตุ สาเหตุที่หนึ่ง...คือคนถามนั้น ถามแบบจงใจจะหาเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยท่าทาง, น้ำเสียง, แววตา หรือไม่ก็รูปแบบของคำถาม ส่วนสาเหตุที่สอง...เกิดจากคำถามที่ถามมานั้น เราตอบไม่ได้...และโดยมากเกิดจากเราไม่แม่นในรายละเอียดของงาน ดังนั้น เมื่อโดนไล่บี้ลงในรายละเอียดแล้ว เราจึงมักเกิดความขุ่นมัวในอารมณ์ จนกลายเป็นโกรธในที่สุด ... ถามต่อว่า...วิธีแก้ปัญหาจากสาเหตุแรก ต้องทำยังไง...ข้อนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่า คนถามมีเจตนาอะไร แต่สำหรับสาเหตุที่สองนั้น...ผมเชื่อว่า ทุกคนคงพอจะตอบได้ครับ... ใช่แล้วครับ...ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด ลงรายละเอียดและใส่ใจในสิ่งที่ทำ...อะไรที่ตอบไม่ได้ เพราะยังลงรายละเอียดไม่พอ ก็ต้องกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติม ป...

Post#3-64: คุณธรรมแห่งเล่าปี่

Post#3-64: หนึ่งในฮ่องเต้ที่ชาวจีนจดจำชื่อได้อย่างขึ้นใจ ย่อมต้องมีชื่อ "พระเจ้าเล่าปี่" อยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่ได้เคยอ่านสามก๊กคงรู้ดีถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของเล่าปี่เป็นอย่างดี...นั่นก็คือเรื่อง "คุณธรรม" เล่าปี่ชนะใจคนได้ก็เพราะขึ้นชื่อเรื่อง "คุณธรรม" ในขณะเดียวกันเล่าปี่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานมามาก รบแพ้มากกว่ารบชนะ ก็เพราะคุณธรรมเช่นกัน ... ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในเรื่องคุณธรรมของเล่าปี่ที่ทำให้ชนะและแพ้...เพราะอยากให้ไปอ่านเอาเองจะได้อรรถรสมากกว่า ในที่นี้ จึงอยากจะขอยกวาทะของเล่าปี่ ที่ผมถือว่าเป็นสุดยอดคำสอนที่บ่งบอกถึงธาตุแท้ของเล่าปี่ได้เป็นอย่างดียิ่ง มิพักต้องไปมัวกังวลอยู่ว่า เล่าปี่พูดไว้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดของหลอกว้านจง ที่จงใจแต่งขึ้นเพื่อให้เล่าปี่ดูดี...ผมอยากให้ใส่ใจถึงเนื้อหาในวาทะนั้นเป็นสำคัญนะครับ ... หลังจากตรอมใจเพราะรบแพ้ลกซุน ในสงครามแก้แค้นให้กับกวนอูและเตียวหุย เล่าปี่ก็ไปป่วยอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย ก่อนตาย เล่าปี่จึงได้กล่าววาทะนี้ไว้ เพื่อเป็นคำสั่งเสียให้กับอาเต๊า (หรือพระเจ้าเล่าเสี้ยน) ว่า...

Post#3-63: Surprise!

Post#3-63: หลายวันก่อน ผมฝากให้เพื่อนคนหนึ่ง (สมมติว่าชื่อ คุณ P ก็แล้วกันนะครับ) ช่วยคิดหาวิธี surprise เพื่อนของเราอีกคน ในงานเลี้ยง สารภาพตามตรงว่า จริงๆ แล้ว ถ้าผมคิดเองก็คงคิดได้ แต่ตอนที่ฝากให้คุณ P คิดน่ะ ผมประเมินเอาเองว่า ผู้หญิงด้วยกันน่าจะรู้ใจกันมากกว่า ว่าแล้ว ผมก็ไม่ได้คิดเรื่องแผนการ surprise อะไรที่ว่าอีกเลย...จนกระทั่งมาถึงเช้าวันงาน... ระหว่างผมกำลังออกรอบตีกอล์ฟอยู่กับผู้ใหญ่อยู่นั้น...ฉับพลัน ก็มี message จากคุณ P ส่งมาบาดหัวใจผมว่า "คิดไม่ออกว่าจะ surprise ยังไงดี?" ... ผมอึ้งไปประมาณ 2 วินาที...แว่บแรกก็โทษตัวเองก่อนเลยว่า ทำไมประมาทและทิ้งให้เป็นภาระของคุณ P เพียงลำพัง แว่บที่สอง ก็แอบงอนเล็กน้อยว่า ทำไมมาบอกเอาวันนี้ว้าาาาา...แล้วผมก็อยู่ในระหว่างออกรอบกับผู้ใหญ่ จะจัดการอะไรก็ไม่ถนัดเอาเสียเลย สุดท้ายผมก็ปลงว่า คืนนี้ก็คงไม่มี surprise อะไร...เอาน่า อย่างน้อยก็ยังมีงานเลี้ยงอยู่ คงไม่มีอะไรกระทบกับเจ้าของวันเกิด ... หลังปลงได้...ผมก็ตัดใจเรื่องการทำ surprise แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า คุณ P คิดเรื่อง surprise ไม่ออกเอาจริงๆ หรือว่าจริงๆ แล...

Post#3-62: A matter of choice

Post#3-62: ให้บังเอิญไปเจอวาทะนี้เข้าให้ครับ...อ่านแล้วถูกใจเหลือหลาย และที่สำคัญเอาไป apply ต่อได้อีกยาวเลย Vin Diesel ว่าไว้แบบนี้ครับ... "Being male is a matter of birth. Being a man is a matter of age. But being a gentleman is a matter of choice." แปลว่า "การเป็นเพศผู้นั้น ขึ้นอยู่กับการกำเนิด การเป็นผู้ชายนั้น ขึ้นอยู่กับอายุ แต่การเป็นสุภาพบุรุษนั้น เป็นทางเลือกของเรา" ... อ่านหนแรกผมแทบไม่เชื่อว่า นี่เป็นคำพูดของนักแสดง...ค่าที่ว่า สำหรับผมแล้ว วาทะนี้มันลึกซึ้งและสอนใจได้ดีพอๆ กับคำสอนแห่งผู้ทรงศีลเลยทีเดียว นั่นสิครับ...เกิดเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย ก็เป็นเรื่องธรรมชาติจัดสรร, เติบโตขึ้นเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องของระยะเวลาที่ทำให้เรามีสรีระที่เปลี่ยนแปลงจากเด็กชายหรือเด็กหญิง แต่การที่จะเป็น "สุภาพบุรุษ" หรือ "สุภาพสตรี" ได้นั้น...หาใช่เรื่องของธรรมชาติจัดสรรไม่ หากแต่เป็น "วิถีทาง" ที่เราล้วนต้องเลือกที่จะคิดและปฏิบัติ...เท่านั้น และเมื่อคิดได้และปฏิบัติจนเป็นจริยวัตร...ผู้ชายหรือผู้หญิงโดยเพศสภา...

Post#3-61: สายใยแห่งมิตรภาพ

Post#3-61: ค่ำคืนนี้ ผมมีโอกาสได้พบหน้าน้องๆ เกือบ 20 ชีวิต ซึ่งล้วนแต่เคยทำงานร่วมกันมา เป็นการนัดทานข้าวและสรวลเสเฮฮาแบบไม่ต้องคาดหวังนานาสาระใดๆ ทั้งสิ้น...และเป็นการชวนกันมาโดยผ่าน Social Network โดยไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย ใครใคร่มาก็มา, ใครว่างก็เชิญ, ใครไม่ว่างก็ไม่ซีเรียส, ใครบอกว่าจะมาแต่ฝ่ารถติดไม่ไหว ก็ไม่ว่ากัน, ใครติดธุระกระทันหันก็เข้าใจ รวมความแล้ว ก็นัดกันแบบสบายๆ ก็เลยไม่รู้จะเคร่งเครียดไปหาอะไร :) ... ผมเชื่อว่า การได้พบเจอคนที่เรารู้สึกดีๆ ด้วย ล้วนเป็นหนึ่งในความปรีดาของชีวิต... ผมชอบบรรยากาศของการพูดคุยข้ามกันไปมา คุยกับคนทางซ้ายนิด คุยกับคนทางขวาหน่อย ใครใคร่ร้องก็ร้อง, ใครอยากทานก็ทาน, ใครอยากร้องเพลงก็เชิญตามสะดวก ...มันเป็นอารมณ์แบบคุยโขมงโฉงเฉง ไร้ระเบียบ แต่มันเป็นการพูดคุยและไต่ถามสารทุกข์สุกดิบในแบบที่อบอุ่นและเป็นกันเอง...ที่สำคัญเราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคิดถึงในกันและกันได้จริงๆ มันเป็นการพบปะสังสรรค์ที่ทำให้ "ความคิดถึง" กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม ... สายใยแห่งมิตรภาพนั้นบางเบาและโปร่งใส มองไม่เห็นด้วยตาเปล่...

Post#3-60: ทำงานแบบ รปภ.

Post#3-60: บ่อยครั้ง ที่ผมจะพูดถึงผู้คนส่วนหนึ่ง (ซึ่งบังเอิญว่าเป็นส่วนใหญ่) ที่มักจะทำงานแบบมุ่งเน้นกระบวนการแต่ไม่ใส่ใจผลลัพธ์...หรือพูดง่ายๆ ก็คือพวกทำงานแบบ "มักง่าย" นั่นล่ะครับ พวกเค้าเหล่านั้น จะไม่ได้สนใจเลย ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น จะทำให้ผลลัพธ์เบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่า ถ้าผมพบว่าลูกน้องทำงานแบบขอไปทีครั้งใด เป็นที่รู้กันว่า ต้องโดนผมเรียกเข้า "ห้องเย็น" เป็นแน่ แม้กระทั่ง ถ้าผมพบว่า ตัวเองหลงลืมหรือไม่ได้ใส่ใจเพียงพอต่อผลลัพธ์ ผมก็จะโกรธตัวเองมากเช่นกัน ... ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการทำงานแบบไม่ใส่ใจผลลัพธ์ ก็คือการทำงานแบบ "รปภ." ตามจุดตรวจทั้งหลาย น่าเสียดายที่ผมต้องบอกว่า เกือบจะร้อยละร้อยของ รปภ. ตามจุดตรวจ ทำงานแบบนี้จริงๆ และต้องขออภัยที่ผมจะต้องบอกว่า ผมชิงชังการทำงานแบบนี้ เป็นอย่างมาก เหตุเพราะผลพวงจากการทำงานแบบนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแล้ว ยังทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุอีกด้วย ลองยกตัวอย่างดูมั๊ยครับ... 1.ตาม BTS และ MRT: ขอตรวจกระเป๋า แต่กระเป๋ามีเป็น 10 ช่...