Skip to main content

Posts

Showing posts from 2016

Post#4-116: ปีชง

Post#4-116: ปีหน้าที่กำลังจะมาถึงในวันรุ่งพรุ่งนี้ มีใคร "ชง" บ้างมั๊ยครับ? ตามตำราหมอดู ท่านก็เตือนว่า ใครเกิดปีระกากับปีเถาะ ก็ต้องระวังให้มาก...ต้องทำบุญสะเดาะเคราะห์ เพื่อผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา เรื่องแบบนี้ จริงรึเปล่า ผมก็มิอาจฟันธงได้...เอาเป็นว่า ก็ฟังไว้เป็น "ข้อเตือนใจ" เพื่อให้เรา "ตระหนัก" แต่ไม่ "ตระหนก" ก็แล้วกันนะครับ ... ผมบอกได้อยู่อย่างว่า เมื่อได้ฟังคำทำนายทายทัก...จงอย่าพึ่งรีบร้อนเชื่อครับ ตั้งสติก่อน, คิดก่อน และทบทวนก่อน...ไม่ใช่ฟังคำทำนายทายทักแล้ว ก็ปล่อยให้สติแตกกระเจิง ทำอะไรไปโดยไม่ทันคิดให้ดี ชีวิตจะรุ่งโรจน์หรืออับเฉานั้น ผมเชื่อว่า มันขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นสำคัญครับ...อย่าเอาแต่โทษดวงชะตา หรือต่อว่าพรหมลิขิต ... ถ้าก่อนทำ ได้คิดดีแล้ว...หากผลลัพธ์ออกมาไม่ดีดังหวัง จึงค่อยไปโทษฟ้าโทษฝน หรือโทษชะตาฟ้าลิขิต แต่ถ้าหากทำอะไรไปโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน แล้วปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมาแย่... แต่เราดันไปโทษว่าเป็นความผิดของโชคชะตา...แบบนี้ ผมว่า เราก็ออกจะใจร้ายและไม่ยุติธรรมกับ "โชคชะตา" มากไปมั๊ยครับ? ...

Post#4-115: เรามีอาชีพ vs เรามืออาชีพ

Post#4-115: บางคนมีอาชีพเป็นครู...แต่มิได้เป็นครูมืออาชีพ บางคนมีอาชีพเป็นนักขาย...แต่มิได้เป็นนักขายมืออาชีพ บางคนเป็นพนักงานบริษัท...แต่มิได้เป็นพนักงานบริษัทมืออาชีพ เหล่านี้ เพราะคนบางคนเหล่านั้น ทำงานเพื่อเงินเป็นหลัก...แต่หาได้มีความรักและมีความภาคภูมิในอาชีพแห่งตนไม่ ... หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า "อ้าว!...ก็แล้วยังไงล่ะ...มันก็เป็นเรื่องธรรมดาโลกไม่ใช่หรือ?" สำหรับผมแล้ว...มันต่างกันมากครับ ระหว่างการที่คนเราทำงานเพื่อเงิน กับการที่คนเราทำงานเพื่อให้ได้เงิน แบบแรก เราสักแต่ทำงานเพียงเพื่อให้ได้เงิน...แต่แบบหลังเราตั้งใจทำงานเพื่อให้ได้เงินเป็นค่าตอบแทน ผลลัพธ์ระหว่างทั้ง 2 แบบนี้ อาจจะเหมือนกันตรงที่ได้ "เงิน"...แต่สิ่งที่จะติดตัวเราไปสู่อนาคตนั้น มันจะต่างกันอย่างมาก แน่ๆ ... คนที่ "ทำงานเพื่อเงิน" นั้น จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เรียกว่า ย้ายงานเปลี่ยนอาชีพก็เอา...ทำทุกอย่างเพื่อหาเงินมาให้มากที่สุด ส่วนคนที่ทำงาน "เพื่อให้ได้เงินมา" นั้น...คือการฝีมือในการทำงาน และใช้ "ผลงาน" เพื่อแลกค่าตอบแทนมาเลี้ยงชีพ แปลว่...

Post#4-114: เป้าหมายคือสุขใจ

Post#4-114: ผมเคยเล่าไว้หลายครั้งว่า ผมชอบร้องเพลงไม่น้อย...น่าเสียดายที่ผมอยู่ในระดับแค่ "ร้องได้" หากแต่ห่างไกลจากระดับ "ร้องดี" ที่ว่า "ร้องได้" ไม่ใช่ "ร้องดี" ก็เพราะผมไม่ได้เกิดมาพร้อม "แก้วเสียง" จากสวรรค์...หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่ว่าจะพยายามยังไง ก็ไม่มีวันร้องเพลงได้ในระดับ "ไพเราะ" ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวนะครับ...ผู้คนอีกหลายพันล้านคนบนโลก ก็ไม่ได้ร้องเพลงไพเราะ แต่ทำไมผมยังคงร้องเพลงต่อไป...แม้จะรู้ว่าไม่มีวันร้องเพลงได้ไพเราะ? ... เหตุผลนั้นแสนง่ายครับ ก็เพราะปลายทางหรือเส้นชัยของผมและอีกหลายพันล้านคนที่ว่า...อยู่ที่การ "ได้ร้อง" ไม่ได้ต้องการจะเป็น "นักร้อง" สักหน่อย สุขใจแค่ได้ร้อง...และมิได้เฝ้าพะวงหรือทุรนทุรายว่าจะต้องได้เป็นนักร้อง ... ดังนั้น เราจึงควรจำไว้ ว่าเส้นชัยของเราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนใครๆ ก็มันเป็นเป้าหมายของเรานี่นะ...ก็จงตั้งเป้าให้ "ดีต่อใจ" ไม่ต้องไป "ดีต่อใคร"...ก็น่าจะถูกต้องแล้วนี่นา และไม่ว่าเป้าหมายของเรามันจะน่าขันในสายตาของคนอื่น ห...

Post#4-113: Job Interview

Post#4-113: บ่ายวันนี้ ผมมีภารกิจในการสัมภาษณ์ Candidate ท่านหนึ่ง ที่ Management Board คาดหวังไว้สูงมาก เอาจริงๆ แล้ว Job Interview เป็นหนึ่งในงานที่ผมชอบไม่น้อยเลย เพราะถือเป็นโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองกับคนใหม่ๆ ที่สำคัญ ผมถือเป็นโอกาสได้ลับสมองประลองไหวพริบในการตั้งคำถามและตอบคำถามไปด้วย ^^ ... โดยปกติ หากเราได้รับการเชิญมาสัมภาษณ์งานแล้ว นั่นแปลว่า เราก็มีดี "พอตัว" หมายความว่า Profile ของเรา ทั้งเรื่องประวัติการทำงาน, ประวัติความรู้ความสามารถ รวมไปถึงบุคลิกเบื้องต้นนั้น...ได้รับความสนใจในระดับหนึ่ง เหลือเพียงการนำเสนอหรือ "ขาย" ตัวเราเอง ให้ดีที่สุดเท่านั้น ... ถึงตรงนี้ ก็ต้องเตือนคนที่กำลังรอรับโบนัส เพื่อไปเริ่มความท้าทายใหม่ๆ ในปีหน้า ว่า การ "ขายตัวเอง" นั้น ไม่ได้หมายความว่า ให้เรา "ขี้โม้" หากแต่การขายตัวเองที่ว่านั้น หมายถึง การนำเสนอ Competency และ Potential ของเรา ในรูปแบบที่เราคิดว่า ผู้สัมภาษณ์ จะ "ชอบ" และ "สนใจ" นี่เอง ที่ผมบอกว่า เป็นโอกาสได้ดูไหวพริบและทักษะของ Candidate.....

Post#4-112: หยั่งเชิงและตอบโต้

Post#4-112: ค่ำนี้ ผมมีนัด Business Dinner อีกเช่นเคย เพื่อหารือธุรกิจและกระชับความสัมพันธ์กับคู่ค้า ถ้าเปรียบเทียบการประชุมแบบจริงจังเป็นอาหารจานหลัก ก็ต้องบอกว่าการมาคุยกันนอกรอบแบบนี้ ก็ไม่ต่างจากขนมหวานหรือผลไม้ตบท้าย มื้ออาหารจะสมบูรณ์ย่อมต้องทีทั้งอาหารคาวหวาน ส่วนการเจรจาธุรกิจก็จำเป็นจะต้องมีทั้งการประชุมที่จริงจังและการสนทนาที่ผ่อนคลาย ... ปกติ การหารือทางธุรกิจนั้น มักไม่จบในการพบกันแค่ครั้งหรือสองครั้ง โดยเฉพาะการคุยในหัวข้อที่ serious ด้วยแล้ว ก็มักจะต้องพูดคุยกันหลายต่อหลายหน บ่อยครั้ง จึงเป็นการดีที่คู่เจรจาจะเปลี่ยนสถานที่ในการสนทนากัน...คุยเรื่องเครียดๆ ในที่ๆ ไม่เครียด หรือคุยเรื่องที่เป็นทางการในที่ๆ ไม่เป็นทางการ ดังนั้น โดยมากแล้ว การหารือในหัวข้อที่ serious จึงไม่ค่อยจะจบที่ห้องประชุม แต่มักจะจบกันที่โต๊ะอาหาร, ร้านเหล้า ไม่ก็สนามกอล์ฟ ... จริงๆ แล้วมันก็เป็นตรรกะที่สมเหตุสมผลดีในตัว นั่นล่ะครับ เพราะถ้าบรรยากาศมันร้อนจนเกินไป ก็ต้องหาทางลด degree ความร้อนแรงลงบ้าง...ดังนั้น การคุยเรื่องเครียดในสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย จึงทำให้การเจรจาเป็นไปในทิศทา...

Post#4-111: แบกขยะไปทำไมกันหนอ?

Post#4-111: สมมติว่าเราต้องเดินทางไกล โดยต้องหิ้วถุงขยะไปด้วย ซึ่งตลอดเส้นทางนี้ จะมีจุดทิ้งขยะอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือแถวๆ จุดเริ่มต้น กับอีกจุดหนึ่งอยู่แถวๆ ปลายทาง ถามง่ายๆ ครับ ว่าเราจะเลือกทิ้งถุงขยะที่จุดไหน และเพราะอะไร? ผมให้เวลาคิด 5 นาที พอมั๊ยครับ? ... ส่วนตัวผมเชื่อว่า เกือบทุกคนเลือกที่จะทิ้งถุงขยะที่จุดแรก ด้วยเหตุผลที่ว่า ก็เพราะขยะนั้นเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่รู้จะทนแบกถือไว้ทำไมเป็นนานสองนาน ผมเองก็คิดแบบนี้...แต่ไม่แน่ใจว่า ผมได้ทำแบบนี้มาตลอด รึเปล่า? เปล่าครับ...ผมไม่ได้กำลังจะยียวนอะไรเลย เพียงแต่กำลังทบทวนชีวิตอยู่ว่า บ่อยครั้งเราก็แบกความรู้สึกแย่ๆ ไว้กับชีวิตนานเกินความจำเป็นไปมั๊ยหนอ? ... ความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลาย ก็ไม่ได้ต่างจากขยะ...นั่นคือ เราเองก็รู้ว่า มันไม่ดีต่อตัวเราเลย แต่เราก็ไม่อาจปลดหรือไม่ยอมทิ้งความรู้สึกแย่ๆ นี้ ไปเสียที ถ้าเป็นแบบนี้ จะต่างอะไรกับการที่เราเลือกที่จะถือขยะไปด้วยตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เราเลือกที่จะทิ้งมันตั้งแต่จุดแรกได้ มันคงยาก ที่เราจะลืมหรือก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆ ที่ว่าไปได้ในทันที...แต่จะช้าหรือเร็ว เราย่อมต้องรู้สึกได้เ...

Post#4-110: ราชสีห์กับหนู (ภาค2)

Post#4-110: อย่างที่ทราบกันดีว่า ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวกันทั้งโลก...ไปไหนมาไหนก็เจอนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด เช่นเดียวกับผมที่เดินทางมาญี่ปุ่นและประสบปัญหาคือที่พักถูกจองเต็มหมด...เนื่องจากตัดสินใจเดินทางมาแบบไม่ได้วางแผนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ จะว่าไป ก็ใช่ว่าโรงแรมจะเต็มจนไม่มีห้องว่าง...แต่ที่มีห้องว่าง ก็ราคาเกินกว่าจะจ่ายไหว จนผมต้องหันไปใช้บริการ Service Apartment แทน ... แม้ว่าบริการของ Service Apartment จะไม่สะดวกสบายเท่ากับโรงแรม แต่ก็แลกมาด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง อยู่สบาย แต่ข้อจำกัดที่สำคัญมากๆ ก็คือ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นั้น ไม่มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่เลย...ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบคันจิ ซึ่งผมมีภูมิรู้เป็น "ศูนย์" เอาตัวรอดมาได้ด้วย Google Translate และ Skill "เดา+10" ล้วนๆ ... ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่า Service Apartment แต่ละที่จะเหมือนกันมั๊ย? แต่ที่ๆ ผมมาพักนั้น ก่อนจะเข้า Apartment ได้ ผมจะต้องเปิด Mailbox โดยใช้ Instruction ที่ Agent ส่งมาให้เสียก่อน (โชคยังดีที่ส่งมาเป็นภาษาอังกฤษ) ผมใช้เวลาอยู่เป็นนาน ก็ยังไม่สามารถเปิด Mail...

Post#4-109: เหตุและผลอันสอดรับ

Post#4-109: ผมชอบเดินตามลูกสาว เวลาที่เธอเดินช้อบปิ้ง...โดยหน้าที่ของผมคือการเชียร์ให้ซื้อ, ถือของ และจ่ายเงิน ที่สนุกก็คือการฟังเหตุผลของเธอ ว่าทำไมถึงควรจะซื้อชิ้นนี้, ไม่ควรซื้อชิ้นนั้น, แม่ควรซื้อชิ้นไหน, พ่อใส่ตัวนี้เหมาะรึเปล่า? บางเหตุผลก็ฟังดูเข้าที แต่ก็มากครั้งที่ดูจะออกทะเลเสียมากกว่า...ซึ่งผมก็จะคอยแกล้งกวนแกล้งแหย่ เพื่อดูว่าลูกจะโต้ตอบแบบไหน? ... ผมคิดว่า ตัวเองคงเป็นโรคจิตเล็กๆ ที่ชอบให้ลูกคิดหาคำตอบนั่น นู่น นี่ อยู่ตลอดเวลา...แม้ว่าบางเรื่องนั้น น่าจะเป็นเรื่องของความรู้สึกชอบหรือไม่ มากกว่า แต่กระนั้น การที่กระตุ้นให้เธอได้คิด ก็ถือเป็นเรื่องสนุกไปพร้อมๆ กับฟังวิธีคิดของเธอไปในตัว และอันที่จริง ผมไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่ว่า เธอคิดถูกหรือผิด เพราะเรื่องถูกหรือผิดนั้นขึ้นอยู่กับมุมมอง...หากแต่ให้น้ำหนักไปที่การวิเคราะห์ว่า เหตุและผลที่เธออธิบายมานั้น มีตรรกะสอดรับกันหรือไม่ ... เคยดูหนัง Sci-fi กันบ้างมั๊ยครับ? ขึ้นชื่อว่าหนัง Sci-fi นั้น ความโอเว่อร์แบบมโหฬารน่ะ มาเต็มอยู่แล้วแน่ๆ แต่ไม่ว่าเนื้อเรื่องมันจะดูเหลือเชื่อเพียงใด...หากถ้ามันมีที่มาที่ไปที่...

Post#4-108: หลบภัยหลีกพาล

Post#4-108: เมื่อช่วงย่ำค่ำวันนี้เอง ผมได้รับ e-mail จากบุคคลไม่น่าคบคนหนึ่ง...ซึ่งทำให้ผมมีอารมณ์ไม่ค่อยจะรื่นรมย์สักเท่าไหร่ เนื้อความก็ประมาณว่า มีการตกลงกันในที่ประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าจะต้องทำอย่างนั้น สรุปอย่างนี้ แต่ที่ทำให้ผมไม่ ok ก็เพราะ ผมไม่ได้เข้าร่วมการประชุมที่ว่านั้น อีกทั้งไม่ได้มอบอำนาจให้ใครไปแทนด้วยสักหน่อย และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกๆ ที่ผมโดนระรานด้วยบุคคลคนเดียวกันนี้ ... นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่เรื่องราวที่ไม่พึงประสงค์ อาจเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ... และคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นนั้น มักมี Hidden Agenda บางอย่าง หนทางรับมือที่ดีที่สุดก็คือ เราอย่าไปเต้นหรือเล่นตามเกมของพวกนั้น... หากแต่ ให้รับมือด้วยความใจเย็น แต่ไม่ใช่ใจอ่อนยอมตาม ... จำสมัยเราเป็นเด็กๆ แล้วโดนพวกเกเรมาแกล้งได้มั๊ยครับ? ยิ่งแสดงออกว่ากลัวหรือร้องไห้ ยิ่งโดนรุมแกล้งไปเรื่อยๆ...แต่หากตอบโต้ด้วยความรุนแรง ก็ใช่ว่าเรื่องจะจบง่ายๆ ทางที่ดีจึงต้องทำเสมือนพวกขี้แกล้งนั้น ไร้ตัวตนและความสำคัญ และเราจำต้องรู้ ว่า "ใคร" คือคนที่หยุดคนจำพวกนี้ได้ ... ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า ทาง...

Post#4-107: ปีใหม่...ต้องมีอะไรใหม่ จึงจะดี?

Post#4-107: หลายวันมานี้ ใน News Feed มีแต่ภาพบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง...นั่นก็แปลว่า เราเข้าสู่ช่วงปีใหม่แล้ว อย่างแท้จริง แต่ก็มีอีกหลายคน...ที่ Post บอกลาปี 2016 ที่กำลังจะผ่านไป ด้วยอารมณ์ไม่อยากจะเผาผีด้วย ลองมานั่งนึกดูดีๆ แล้ว...มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลย ที่ไม่เคยพอใจกับปีปัจจุบัน หากแต่เฝ้าคอยให้ปีใหม่มาถึงไวๆ ... ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยจะเชื่อ ว่าตลอดปีที่ผ่านมา คนเราบางคนจะไม่มีเรื่องดีๆ ไว้ให้จดจำเลย...แม้ว่าเรื่องร้ายๆ อาจจะมีมากกว่าก็เถอะ แต่การที่เรามัวแต่มุ่งสาปส่งปีที่กำลังจะผ่านไป...ก็ดูเหมือนว่า ใจเราจะจดจ่ออยู่กับเรื่องร้ายๆ จนละเลยและลืมเลือนเรื่องดีๆ ที่น่าจดจำไปรึเปล่าหนอ? เราอาจต้องหันมาให้สติตัวเองแล้วกระมังครับ...ว่าที่ชีวิตยังไม่ดีขึ้นเสียทีน่ะ เป็นเพราะเรามัวแต่จมจ่อมอยู่กับความย่ำแย่ที่ผ่านมารึเปล่า? ผมอยากเสนอให้ลองทบทวนดูให้ดี...เผื่อว่าหลายๆ คนอาจจะรู้สึกตัวได้บ้างว่า... จริงๆ แล้วที่แย่น่ะ ไม่ใช่ชีวิตของเราหรอกครับ...หากแต่ที่แย่น่ะ คงเป็นเพราะ "วิธีคิด" ของเรา ต่างหาก ... ไม่ว่าจะวันไหนๆ, เดือนไหน, ปีไหนๆ หรือเวลาไหนๆ ก็ตาม...ถ...

Post#4-106: ภาพสะท้อนของภาพถ่าย

Post#4-106: เคยนั่งดูภาพถ่ายเก่าๆ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่กันบ้างมั๊ยครับ? จำความรู้สึกขณะกดชัตเตอร์หรือกำลังอยู่ในเฟรมได้มั๊ยครับ? หากใครจำได้ ก็คงจะเป็นเหมือนผม คือเมื่อได้ดูภาพถ่ายแล้ว...มันก็เหมือนลิ้นชักความทรงจำของเราถูกเปิดขึ้น... ไม่ว่าตอนนั้นรู้สึกอะไร หรืออย่างไร...เราก็มักจะจำมันได้ในชั่วพริบตา ภาพถ่ายจึงเป็นมากกว่าภาพถ่าย เพราะสำหรับผม ภาพถ่ายมันคือ "ภาพความทรงจำ" เสียล่ะมากกว่า ... หลายปีที่ผ่านมา...ผมไม่ค่อยชอบถ่ายรูปมากนัก...เว้นแต่เป็นการถ่ายกับครอบครัว หรือถ่ายกับลูกสาว เสียเป็นส่วนมาก ผมชอบถ่ายรูปลูกสาว...ชอบตอนที่เธอยิ้ม, หัวเราะ หรือแม้แต่ตอนที่เธอทำหน้างอใส่กล้อง ความตั้งใจก็คือ จะเก็บภาพถ่ายเหล่านั้นไว้ให้ลูกได้ดูตอนโต...เผื่อไว้เวลาที่ผมแก่เฒ่า ก็คงจะมีความสุขไม่น้อยที่จะได้พูดคุยเรื่องอดีตกับลูกบ้าง ^^ ... บางทีผมก็อยากรู้ ว่าความทรงจำในฐานะคนในภาพถ่ายกับคนที่ถ่ายภาพนั้น จะเหมือนกันหรือผิดแผกแตกต่างกันมากมั๊ยหนอ? ผมอาจจะรู้สึกแบบหนึ่ง ในขณะที่ลูกสาวอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบที่ผมรู้สึกอยู่ก็เป็นได้ หากได้มานั่งคุยแลกเปลี่ยนก...

Post#4-105: วางแผนเที่ยว

Post#4-105: ไม่ทราบว่า จะมีใครเป็นเหมือนผมบ้างรึเปล่านะครับ?...คือ ผมมีหนึ่งในวิธีแก้เบื่อและสร้างความตื่นเต้น ด้วยการ "วางแผนไปเที่ยว" นั่นเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องวางแผนไปเที่ยวในที่ๆ ไม่เคยไปเยือนมาก่อน ยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงและสมองปั่นเป็นพิเศษ จะว่าไป การวางแผนเที่ยวนี้ ผมถือว่าเป็น Breakthrough Thinking สำหรับการก้าวออกจาก Comfort Zone เลย ก็ว่าได้ครับ ... ตามปกติแล้ว คนเรามักจะไม่กล้าออกจาก Comfort Zone เพราะกลัวอันตราย...ทั้งที่ ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่าอันตรายที่กลัวอยู่นั้น คืออะไรกันแน่? รู้แต่ว่า ต้องกลัวเอาไว้ก่อน...ก็คนมันไม่เคยนี่นา, ก็คนมันไม่ชินน่ะเนอะ, ก็เดิมๆ ก็ดีอยู่แล้ว, ฯลฯ...ก็ว่ากันไป แต่เมื่อเป็นเรื่องไปเที่ยว...แม้จะไม่รู้ว่า ที่ๆ จะไปเที่ยวนั้นเป็นยังไง แต่อย่างมากเราก็จะแค่เกร็งๆ และตื่นเต้นแบบบอกไม่ถูก ...ที่เราไม่กลัว ก็เพราะเรามีภาพในหัว ว่าไปเที่ยวเป็นเรื่องสนุกนั่นเองครับ ... ถ้าเราลองตรองดูให้ดี ก็จะพบว่า หากเราปรับวิธีคิดที่มีต่อ "อะไรที่เราไม่คุ้นเคย" ได้...ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ใหม่ หรือไปทำงานที่ใหม่ หรือไม่ว่าจะทำอะไร...

Post#4-104: เงินเดือนที่ให้บุพการี

Post#4-104: หลายวันก่อน มีลูกน้องของผมท่านหนึ่ง ส่งข้อความมาปรึกษาและปรับทุกข์กลายๆ สรุปความประมาณว่า "...ไม่อยากส่งเงินให้แม่เลยพี่ ส่งไปให้ท่านก็เอาไปเล่นหวยหมด..." แล้วก็ขอคำปรึกษาผม ว่าจะห้ามแม่ยังไงดี? ฟังแล้วก็เหมือนเกิด DejaVu...นึกถึงเรื่องของตัวเองในสมัยก่อน ว่าแล้วก็เลยถือโอกาสเล่าให้ท่านอื่นๆ ฟังไปพร้อมๆ กับลูกน้องผมเสียเลย ... สมัยผมยังเป็นหนุ่มฟ้อ (แต่ไม่ได้หล่อเฟี้ยว)...พอเริ่มทำงานมีเงินเดือน ก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องแบ่งเงินเดือนส่วนหนึ่งให้กับคุณพ่อและคุณแม่ พอเปลี่ยนจากฝ่ายขอเงินมาเป็นให้เงิน ผมก็ดันไปสร้างข้อแม้กับคุณแม่...ไปขอกับท่านว่า อย่าเอาเงินไปใช้ทำอย่างนั้น ให้คนนู้น ซื้ออันนี้ คุณแม่บอกผมว่า "ถ้ามันจะต้องมีเงื่อนไขมากนัก ก็ไม่ต้องให้" พักเรื่องที่คุณแม่ของผมท่านไม่พอใจไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ... คนเรานั้นมีความสุขในการจับจ่ายใช้สอยแตกต่าง กัน บ้างก็หมดเงินไปกับการซื้อของแต่งรถ, แต่งบ้าน, ซื้อเสื้อผ้า, เข้าครัว, ทำบุญ หรือเรื่องอื่นๆ แล้วแต่ความชอบของตน และไม่ว่าเราจะหมดเงินหมดไปกับเรื่องอะไรก็ตาม...ยังไงก็จะมีเสียงมาเ...

Post#4-103: หน้าฉากกับหลังฉาก

Post#4-103: ค่ำคืนนี้ ผมจำต้องใช้บริการ Taxi เพื่อเดินทางไปสนามบิน...และเลือกใช้บริการ Grab โดยการจองคิวล่วงหน้า ระหว่างเดินทาง...ก็เป็นธรรมดา ที่คุณพี่คนขับก็มักจะชวนคุยฆ่าเวลา...แต่ที่ไม่ธรรมดาก็เพราะ คุณพี่เค้า (สมมติชื่อพี่ A ครับ) เคยไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นอยู่นานถึง 26 ปี เลยกลายเป็นว่า ผมได้ทราบเรื่องนั่น นู่น นี่ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของประเทศญี่ปุ่น โดยบังเอิญที่สุด ... จาก Life Style ของสังคมเมือง ที่พัฒนาผ่านกาลเวลามานั้น...ผมคิดว่า เราไม่อาจตัดสินใครจากอาชีพที่เค้าทำได้อีกต่อไป ดูอย่างพี่ A นี่ก็ชัดเจนแล้วครับ...ถ้าไม่บอก ผมก็ไม่มีทางทราบว่า พี่เค้ามีภูมิรู้และประสบการณ์ชีวิตที่สูงมากๆ...เอาเป็นว่า ถ้าเป็นเรื่องประเทศญี่ปุ่นนี่ คนไทยอีกหลายๆ คน ไม่น่าจะรู้มากเท่าแกแน่ๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้...หลายต่อหลายครั้ง ผมจึงได้มีโอกาสพบกับ เจ้าของอู่มาขับ Taxi หาข้อมูล, ร้อยตำรวจตรีมาขับ Taxi เพื่อหารายได้เสริม และพนักงานบริษัทที่ยืม Taxi พ่อมาขับ, ฯลฯ ... เราจึงอาจรู้น้อยหรือไม่อาจรู้ได้เลย ว่าคนที่กำลังคุยกับเราอยู่นั้น มีประวัติหรือปูมหลังยังไงบ้าง? เพื่อนผมก็เคยเล่า...

Post#4-102: ไปทะเลกันดีกว่า ^^

Post#4-102: ผมย้ายสำมะโนครัวมาพักผ่อนที่ชะอำเป็นการชั่วคราวตั้งแต่ช่วงบ่ายวันวานนี้...ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า "ร่างกายต้องการทะเล" ครับ ^^ ไม่แน่ใจว่า อาจมี Gene ตัวใดในตัวมนุษย์ ที่เป็น Gene โหยหาทะเลรึเปล่าหนอ? เพราะผมเชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่บนโลกชอบมาพักผ่อนที่ทะเล หรืออาจจะเป็นเพราะว่า ชีวิตต่างๆ บนโลกนี้ ล้วนมีกำเนิดมาจากมหาสมุทร ตามความรู้จาก "บรรพชีวินวิทยา (Paleontology)" ที่เราต่างก็ร่ำเรียนมา ... ส่วนตัวผมรู้สึกว่า ทะเลหรือมหาสมุทรนั้น มีพลังประหลาด...พลังที่สามารถดึงเอาความอ่อนล้าออกไปจากตัวเรา และในขณะเดียวกันก็ได้เติม "อะไรบางอย่าง" ให้กับเราไปด้วย หลับตาลงครั้งใด ผมก็จำได้ถึง สัมผัสแห่งทะเล...และโหยหาที่จะกลับไปหามันในทุกๆ ครั้งที่โอกาสอำนวย ตาได้เห็นความเวิ้งว้างอันประมาณมิได้, หูได้ยินเสียงลมและคลื่นที่ซัดสาดอย่างเป็นจังหวะ, จมูกได้กลิ่นไอของทะเลที่มีความเป็นปัจเจก, ลิ้นได้รับรสเค็มของกระเซ็นคลื่น, มือและเท้าที่จำสัมผัสของหาดทรายละมุนและเกลียวคลื่นได้ดี นี่กระมังครับ...ที่ทำให้มนุษย์หลงรัก "ทะเล" ... เอาจริงๆ ผมก็...

Post#4-101: "เป้าหมาย" มีไว้ให้ "พิชิต"

Post#4-101: เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว ผมนำข้อคิดของ Jack Welch มาแชร์ไว้ ในช่วงแถวๆ ปีใหม่ (Post#125) ซึ่งเป็นเรื่องของแนวคิดในการที่จะพยายามปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้นำที่ดี เวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมก็กลับไปอ่านทบทวนดูว่า สรุปแล้ว จาก 10 ข้อ ผมทำได้กี่ข้อกันแน่? แน่นอนว่า ผมยังทำได้ไม่ครบทุกข้อ...แต่ประเด็นหลักที่ผมถามตัวเองน่ะ อยู่ที่ตอบตัวเองได้มั๊ย ว่าข้อที่ยังทำไม่ได้ (หรือยังไม่ได้ทำ) นั้นน่ะ เพราะอะไร? ... จริงๆ แล้ว ในช่วงชีวิตของมนุษย์เรานั้น เราต่างก็ตั้งเป้าหมายนั่น นู่น นี่ เต็มไปหมด... แต่เรากลับมักจะ "ละเลย" ที่จะทบทวนกับตัวเองว่า จาก 100% ที่ตั้งไว้ เราทำไปได้กี่ % แล้ว? ว่าแล้ว เราก็ตั้งเป้าหมายใหม่ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจเป้าหมายเก่าๆ ที่ตั้งไว้...เรียกว่า ตั้งมันไปอย่างนั้นเอง ว่างั้น นั่นล่ะครับ...คือ "เส้นขั้น" ระหว่าง "ผู้ชนะ" (หรือ ผู้ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ) กับ "ผู้แพ้" (หรือ ผู้ที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จ) เพราะผู้ชนะตั้งเป้าหมายเพื่อจะ "พิชิต" ในขณะที่ผู้แพ้ตั้งเป้าหมายเพื่อจะ "ล้มเลิก" .....

Post#4-100: พักร้อนให้สบาย

Post#4-100: เดือนนี้เป็นเดือนที่ผู้คนทั้งหลายต่างมีอารมณ์อยากทำงานน้อยเหลือเกิน...ซึ่งผมเข้าใจว่า คงเพราะมันเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลองของคนทั้งโลก หลายๆ คนลาพักตามสิทธิ์ที่มีอยู่, หลายๆ คนป่วยบ่อยหน่อยในช่วงบ่ายวันพฤหัสฯ และมักหายดีในวันอังคาร และอีกหลายๆ คนที่มักจะเดินสายตรวจงานต่างจังหวัดในช่วงนี้ ต่างคนต่างก็มีวิธีของตน ที่จะหลีกลี้หนีหน้าไปจากการทำงาน...โดยเฉพาะคนที่ทำงานในกรุงเทพฯ ที่จะเกิดอาการ "ภูมิแพ้กรุงเทพฯ" ขึ้นมาอย่างเฉียบพลันและทันที ... ความจริงการ "ลางาน" นั้นต่างจากการ "ทิ้งงาน" อยู่ค่อนข้างมากนะครับ แม้เราจะใช้สิทธิ์ "พักร้อน" อย่างถูกต้อง แต่ไปโดยงานไม่เสร็จ หรือไม่มีผู้รับผิดชอบทำงานแทน...ก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกัน ดังนั้น ถ้าอยากไปพักผ่อนโดยไม่มีใครกวนใจ เราจึงควรต้องสะสางงานให้เรียบร้อยในระดับหนึ่งก่อน หากว่าจำเป็นต้องไปกับครอบครัวจริงๆ ทั้งที่ยังเคลียร์งานไม่จบ...ก็คงไปได้ครับ หากแต่ต้องเปิดโอกาสให้บริษัทฯ ติดต่อเราได้บ้าง เพื่อให้งานเดินต่อไปได้ อย่าลืมว่า การที่บริษัทฯ ยอมให้เราลางานไปเที่ยว ก็ถือเป็นการเห...

Post#4-099: รีบได้...แต่อย่า "ล่ก"

Post#4-099: ก่อนกลับบ้านค่ำนี้ ผมหอบถุงพะรุงพะรังนิดหน่อย แล้วก็ดันแวะเข้าห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำปุ๊บ...ผมก็วางถุงไว้แถวๆ อ่างล้างมือ แต่วางไว้แบบหมิ่นเหม่ต่อการตกไปหน่อย...ด้วยเพราะรีบจะไปประจำที่ ^^ ใจน่ะคิดว่า วางถุงไว้สุ่มเสี่ยงต่อการตกนะ แต่ตัวน่ะไปยืนปลดซิปเรียบร้อยแล้ว และทันใดนั้น กฎของเมอร์ฟี่ก็ทำงานของมัน...ผมได้ยินเสียงเหมือนวัตถุเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ใช่แล้วครับ...ก็ถุงที่วางไว้หมิ่นเหม่นั่นล่ะครับ ที่ขยับเอนลงช้าๆ แล้วก็หยุด แล้วก็ขยับช้าลงอีก แล้วก็หยุด ซึ่งผมได้แค่หันไปมอง และป้องกันด้วยสายตา...เพราะขยับตัวไม่ได้เสียแล้ว :P ... ระหว่างทำธุระไป...ผมก็นึกตำหนิตัวเองไปด้วย ว่ากะแค่เสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกแค่ 1 วินาที เพื่อวางถุงให้เรียบร้อย ทำไมไม่ทำ? เพราะถ้าทำให้ดีตั้งแต่แรก ผมก็ไม่ต้องมาเอี้ยวคอคอยลุ้นว่าถุงจะตกรึเปล่า อีกกว่าสิบวินาที (ไม่ได้จับเวลาจริงจังนะครับ...อิอิ) นึกเหมือนผมบ้างมั๊ยครับ? ว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่เรามักง่ายแบบไม่เข้าท่า เพราะจะรีบทำเวลา... แต่กลับกลายเป็นว่า ใจเราน่ะ ต้องมามัวพะวงกับอะไรที่เราทำไปลวกๆ ไว้ก่อนหน้า คุ้มมั๊ยหนอ? กับแค่ก...

Post#4-098: พูดจาภาษาไหน?

Post#4-098: ผมนั่งประชุมอยู่กับ Vendor รายหนึ่งจนดึกดื่น เพื่อสรุปแผนงานสำหรับปีหน้า...ระหว่างพักทานข้าวรองท้อง เราก็คุยกันถึงความจำเป็นที่จะต้องรู้ภาษาจีนกลาง น่าอายและน่าเสียดายที่แม้ผมจะสืบเชื้อสายมาจากชาวจีน แต่ผมกลับไม่กระดิกภาษาจีนเลยแม้แต่น้อย ปล่อยเวลาเนิ่นมาหลายสิบปี...ผมยิ่งรู้สึกว่าผมปล่อยเวลาให้สูญเปล่า โดยไม่คิดจะขวนขวายเรื่องภาษาให้ดีขึ้นเลย ... อย่างที่เคยแชร์ไว้ใน Post#2-277 นั่นเลยครับ ว่าถ้าต้องการให้ตัวเรามีศักยภาพในการแข่งขันมากพอนั้น...เราจำเป็นต้องรู้ภาษามากถึง 4 ภาษาด้วยกัน นั่นก็คือ ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีนกลาง, ภาษาคอมพิวเตอร์ และภาษาธุรกิจ... หากว่าเชี่ยวชาญ 4 ภาษานี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราไปทำธุรกิจอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ... ไม่ต้องขยายความ ทุกคนก็ย่อมต้องรู้ดีครับ ว่าแต่ละภาษาที่ผมยกมานั้น มีความสำคัญยังไงบ้าง? แต่ถ้าถามผมว่า ภาษาไหนสำคัญที่สุด...ผมตอบได้อย่างไม่ลังเลเลย ว่าภาษาธุรกิจ เพราะภาษาอื่น เราสามารถจ้างคนอื่นมาช่วยได้ แต่ภาษาธุรกิจเป็นเรื่องของตรรกะทางการค้า หรือเป็น sense ทางธุรกิจ ที่เราไม่อาจให้ใครมาคิดแทนได้ ...ไม่ว่าเราจะเ...

Post#4-097: สมดุลย์ชีวิต

Post#4-097: เที่ยงนี้ ผมมีนัดทานข้าวกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยมีโอกาสทำงานร่วมกัน เราคุยกันหลายเรื่อง...แต่เรื่องหนึ่งที่คุยกันแล้ว สะกิดให้คิดต่อได้อีกมาก ก็คือเรื่องสมดุลย์ระหว่างงานและส่วนตัว เพื่อนผมสรุปไว้ประมาณว่า จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราต้องทำแต่งาน จนไม่มีเวลาใช้ชีวิต? ... เห็นด้วยมั๊ยครับว่า...เรามีชีวิตที่ลำบากในวันธรรมดา เพื่อที่จะมีชีวิตที่มีความสุขและผ่อนคลายในวันหยุด ถ้าเชื่อตามที่ผมว่า ก็แปลว่า วันทำงานก็ควรจะตั้งใจทำงานให้เต็มที่ เพื่อที่วันหยุดจะได้พักผ่อนให้เต็มที่เช่นกัน...จะอยู่กับตัวเองหรืออยู่กับครอบครัว ก็ว่ากันไป แต่ถ้าใครไม่จริงจังกับงาน ทำไปเล่นไป งานไม่เสร็จ ก็มีโอกาสที่วันหยุดก็จะต้องรับสายจากนายหรือลูกค้า เพราะเราจัดการงานไว้ไม่เรียบร้อย ดังนั้น ถ้าอยากใช้ชีวิตวันหยุดอย่างสมบูรณ์ เราจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตในวันทำงานให้สมบูรณ์ยิ่งกว่า ... จะใช้ชีวิตส่วนตัวให้มีความสุข จึงต้องเริ่มจากการทำงานให้เต็มที่เสียก่อน...เมื่อชีวิตการงานมั่นคง ย่อมส่งผลให้ชีวิตส่วนตัวมั่นคงไปด้วย เพราะถ้าเราไม่มีงาน...ย่อมหมายถึง เราอาจจะไม่มีเงิน และเมื่อเราไม่มีเง...

Post#4-096: สองคนยลตามช่อง

Post#4-096: ผมนัดกับลูกสาวไว้ล่วงหน้านานแล้ว ว่าจะพาไปสวนสัตว์ในตำนานแห่งสยามประเทศ... ก็ "เขาดิน" นั่นล่ะครับ จำไม่ได้จริงๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมไปเขาดินน่ะ มันเมื่อไหร่กันแน่...แต่คาดว่า คงไม่ต่ำกว่า 15-16 ปี มาแล้ว ลูกสาวผมตื่นเต้นมากที่จะได้ไป...ส่วนผมก็แอบวาดฝันไว้มาก เพราะคาดเดาว่า "เขาดิน" วันนี้ คงจะดีกว่าสิบกว่าปีที่แล้วแบบผิดหูผิดตา ... แต่หลังจากดูกรงสัตว์แรกแล้ว...ความรู้สึกแรกของผมก็คือ "ผิดคาดอย่างแรง" และ "อยากกลับบ้าน" ไม่ว่าจะสภาพกรงและความเป็นอยู่ของพวกมัน หรือการจัดระเบียบการเข้าชมสัตว์...ผมคิดว่า คงไม่มากเกินไปที่จะบอกว่า เราน่าจะติดอันดับ "ดีน้อยที่สุด" ของโลก แข็งใจปั้นหน้ายิ้มและจูงลูกสาวเดินต่อไปอีกกว่าชั่วโมง...แต่ก็พบว่า แทบทุกกรงก็ไม่ต่างกัน คืออยู่ในขั้นแย่ถึงแย่มาก พอผมกำลังจะหันไปขอโทษลูกสาว ที่อาจทำให้การมาเยือนสวนสัตว์ไม่น่าอภิรมย์อย่างที่คิด...ก็กลายเป็นลูกสาวพูดสวนกลับมาว่า "It is fun here, Daddy! I see a lot of wild lives. It is great to be here!" (แปลว่า "ที่นี่สนุกดีค...

Post#4-095: อย่าหยุดเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

Post#4-095: งานอดิเรกหนึ่งที่ผมกำลังพยายามฝึกฝนอยู่ ก็คือ การถ่ายภาพ... แรงบันดาลใจก็มาจาก ผมเห็นเพื่อนๆ หลายคนเหลือเกิน ที่ต่างก็หลงใหลกับการถ่ายภาพกันเป็นอย่างมาก...จนทำให้ผมสงสัยว่า การถ่ายภาพมันสนุกยังไง ว่าแล้ว ผมก็ลงมือศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายภาพนี้ หลังจากผ่านไปประมาณ 3 วัน...ผมพบว่า การถ่ายภาพนั้น มีความปนเปของความท้าทาย และความ (แอบ) ยุ่งยาก อยู่ด้วยกันอย่างแยกไม่ค่อยออก ... สารภาพว่า ส่วนตัวผมมักจะใช้แค่กล้องจาก iPhone ถ่ายภาพ เพราะชอบในความง่ายในการใช้กับความสะดวกในการพกพา แต่ก็ยอมรับว่า ภาพที่ออกมานั้น ไม่อาจเทียบกับภาพที่ออกมาจากกล้องดีๆ ที่เพื่อนผมอรรถาธิบายให้ฟัง (ราวกับกำลัง lecture วิชาถ่ายภาพ 101 ให้กับผม ^^) จบจาก lecture ที่ว่า ผมก็เลยเริ่มอยากจะหันมาลองศึกษาเรื่องถ่ายภาพดูสักตั้งหนึ่ง เพราะให้บังเอิญที่ผมกำลังวางแผนจะไป Family Trip อยู่พอดี...จะได้ถือโอกาสลองวิชาเสียเลย ... จริงๆ ผมว่า คนเราไม่ควรจะหยุดเรียนรู้...โดยเฉพาะเรื่องใหม่สำหรับตัวเราเอง เพราะผมคิดว่า การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ก็เหมือนกับการ "reset zero" ให้กับหัวใจ...

Post#4-094: เกมแห่งการต่อรอง

Post#4-094: บ่ายนี้ ผมใช้เวลาประชุมอยู่กับ Vendor รายหนึ่งอยู่นานหลายชั่วโมง ประเด็นหลักๆ ก็อยู่ที่แผนในการทำงานร่วมกันสำหรับปีหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ที่ต้องใช้เวลาคุยกันนานไม่น้อย เพราะเรื่องที่หารือกันค่อนข้างจะ serious และส่งผลต่อเป้าหมายการขายในปีหน้าค่อนข้างสูง ... เวลาเจรจากับ Vendor บางรายที่มีชัวโมงบินสูงๆ...แม้ว่าจะเป็นไปอย่างเคร่งเครียด แต่ลึกๆ ในใจผมกลับรู้สึก "ท้าทาย" ต้องอ่านเกมและวิเคราะห์คำพูดของกันและกัน ว่าต่างฝ่ายต่างกำลังวางแผนอะไรไว้ในใจ...และกำลังคาดหวังคำตอบอะไรแน่ แต่ละประโยคที่เจรจากัน ก็ไม่ต่างจากการวางหมากบนกระดาน...ซึ่งบางครั้งเราก็แพ้พ่าย และบางครั้งเราก็อาจจะชนะ และไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ...ผมรู้สึกว่า ได้เรียนรู้อะไรมากมายเพิ่มเติม ซี่งเป็นความรู้ที่หาไม่ได้จากในตำรา ... เรื่องไหนที่คาดว่าจะคุยกันไม่ลงตัว...ผมมักจะผลัดผ่อนไปคุยช่วงท้ายๆ...ไม่งั้นคุยกันไปก็จะทำให้ต่างฝ่ายต่างอึดอัด เรื่องบางเรื่องอาจต้องยอมงอ แต่เรื่องบางเรื่องเราอาจต้องยอมหัก...ทั้งนี้ ไม่อาจจะสรุปได้ว่า แม้จะดูเหมือนว่า วันนี้เราจะเจรจาชนะ แล้วว...

Post#4-093: ชัยชนะที่แท้จริง

Post#4-093: หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำพาทุกองค์กรไปสู่ความสำเร็จนั้น ย่อมต้องมีเรื่องของ Alignment (ความเป็นไปในทางเดียวกัน) อยู่ด้วยเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่เราคุยเรื่ององค์กร...เราไม่อาจจะเป็น One Man Show ได้...ด้วยเพราะเราต้องก้าวไปข้างหน้าไปอย่างสอดคล้องกับคนอื่นๆ แต่ละคนเก่งหรือไม่นั้น ก็สำคัญอยู่...หากแต่จะก้าวไปข้างหน้าได้พร้อมๆ กันมั๊ยนั้น...กลับสำคัญยิ่งกว่า ... ลองนึกภาพตามผมนะครับ...ว่าการทำงานในองค์กรก็ไม่ต่างกับการวิ่ง 31 ขา หรือการแข่งเรือ แปลว่า ต่างคนต่างวิ่งก็ไม่ได้ หรือต่างคนต่างจ้วงพายก็ไม่ดี ไม่ว่าเราจะเป็นนักวิ่งระดับโลก หรือนักแข่งเรือเหรียญทองโอลิมปิค...หากแต่เราไม่สามารถวิ่งให้พร้อมๆ กับคนอื่นได้ หรือพายไม่พร้อมกับฝีพายอื่นได้... ถามหน่อยเถอะครับ...ว่าเราจะชนะการแข่งขันได้ยังไง? ... ดังนั้น ใครที่ต้องการจะก้าวขึ้นเป็น "ผู้นำที่ดี" จึงต้องมุ่งสู่ชัยชนะของ "ทีม" มากกว่าชัยชนะของ "ตน" แม้ว่าตัวเองจะเก่งเลิศ แต่ไม่อาจนำทีมได้...ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะแข่งกี่ที ก็จะมีแต่แพ้พ่าย ดีแล้วใช่มั๊ยครับ? หากว่า เราจะเป็นพ...

Post#4-092: ปลาตายน้ำตื้น

Post#4-092: บ่ายนี้ ผมมีเหตุให้ต้องมาพบเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง...เกี่ยวกับเรื่องที่ผมยื่นเอกสารขออนุญาตบางอย่าง ปรากฏว่า ผมหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ...เหตุเพราะผมสื่อสารกับทนายที่ทำเรื่องให้ ได้ไม่ดีพอ โชคดีเหลือแสน ที่เจ้าหน้าที่คงจะเห็นใจบริษัทเล็กๆ...จึงช่วยไขปัญหาและให้คำแนะนำอยู่หลายเรื่อง ส่วนผมได้แต่ยิ้มแหยๆ และยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ด้วยความเกรงใจ ที่ส่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้ ... หลังการประชุมกับเจ้าหน้าที่ ผมพบว่า ข้อมูลที่ผมส่งให้กับทนายนั้นถูกต้องแล้ว แต่ผิดพลาดตรงที่ผมไม่ได้สื่อสารให้คุณทนายเข้าใจตรงกัน ผลก็คือทำให้เกิดการตีความที่ผิดเพี้ยนไปคนละทาง...และทำให้ข้อมูลที่ไปถึงเจ้าหน้าที่นั้น ผิดพลาดตามกันไปเป็นทอดๆ ที่เศร้าก็คือ แทนที่งานผมจะเร็วขึ้น กลับกลายเป็นต้องช้าลง...เหตุเพราะผมไม่เอะใจตั้งแต่ตอนที่ส่งข้อมูลให้กับคุณทนาย ... เหตุการณ์แบบนี้นี่แหละครับ ที่เค้าเปรียบเปรยว่าเป็น "ปลาตายน้ำตื้น"...พลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาด พลาดแบบนี้ทีไร...ผมเป็นต้องอารมณ์เสียทุกทีไป เพราะรู้สึกผิดมาก ที่ไม่รู้จักทำงานให้รอบคอบมากพอ เมื่อลองใจเย็นๆ ...

Post#4-091: อย่าถ่วงน้องๆ

Post#4-091: สิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารระดับสูงต้องให้ความสำคัญก็คือ ตัวเองกลายเป็นตัวถ่วงให้การประชุมไม่ราบรื่นรึเปล่า? สังเกตมั๊ยครับว่า บางครั้งเวลาเราอยู่ในที่ประชุม แล้วบรรยากาศมันอึนๆ เหมือนน้องๆ ไม่กล้าพูดไม่กล้าแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ...นั่นแปลว่า เรากำลังเข้าข่ายเป็นตัวถ่วงการประชุมแล้วล่ะครับ ... บางครั้ง น้องๆ อาจต้องการคุยกันเองก่อน เพื่อตกผลึกทางความคิดบางอย่าง หรือมีปัญหาบางประการที่อยากจะแก้กันเอง ก่อนที่เราจะต้องลงไปรับรู้ ถ้าเราสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ได้...ผมว่า เป็นเรื่อง "อันควร" อย่างยิ่งที่เราต้องให้พื้นที่กับน้องๆ ในการทำงาน ปล่อยให้พวกเค้ามีอิสระในการหารือกันเองบ้าง...เพราะถ้ามันเกินแรงพวกเค้าจริงๆ ผมเชื่อว่า น้องๆ คงออกปากขอให้เราช่วยวิเคราะห์หรือตัดสินใจด้วย เป็นแน่ ... บางท่านอาจจะกังวลว่า ถ้ามันเป็นเรื่องที่เราไม่อยากให้พลาดล่ะ จะปล่อยให้น้องๆ คุยกันเองได้ยังไง...ถ้าปล่อยไป อาจจะสายเกินแก้รึเปล่า? แบบนี้ เราตกลงกับน้องๆ ก่อนล่วงหน้าเลยครับ...ว่าถ้าเป็นเรื่องนี้ หรือเรื่องนั้น ห้ามรอหรือห้ามปล่อย ต้องมาปรึกษาเราทันที ผมเองก็ใช้วิธ...

Post#4-090: วันพ่อที่ไม่มีพ่อ

Post#4-090: ปีนี้เป็นปีแรก ที่เรามี "วันพ่อแห่งชาติ" ในวันที่พ่อไม่อยู่ หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า วันพ่อแห่งชาติ มีขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ก็เมื่อปี 2523 นี้เอง เรียกว่า วันพ่อแห่งชาตินี้ เป็นวันที่เกิดขึ้นมาเพื่อเทิดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ โดยแท้ นอกจากนั้น วันที่ 5 ธันวาฯ ยังถือเป็นวันชาติไทย อีกด้วย ... ผ่านมากว่า 50 วัน ที่พ่อไม่อยู่...แม้หัวใจของเราจะไม่แหลกสลาย แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ ก็คงจะบอบช้ำที่สุดตั้งแต่เกิดมา ผมมีเพื่อนหลายๆ คนที่สูญเสียคุณพ่อไป...และแม้ผมจะเสียใจไปกับพวกเค้า แต่ผมก็ไม่เคยเข้าถึงความรู้สึกนี้ ...จนกระทั่งวันที่ 13 ตุลาฯ ที่ผ่านไปนั่นเอง...ที่ผมและคนไทยทั้งประเทศ เข้าถึงความเศร้าเสียใจที่ว่า อย่างแท้จริง ... หลายๆ คน ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับผม ก็คือ นับจากวันที่พระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย ก็ไม่เคยมีวันใดที่เราไม่ระลึกถึงพระองค์ เมื่อใดที่เราระลึกถึงพระองค์ เมื่อนั้นเราก็จะเกิดอาการน้ำตารื้นและเจ็บแปล๊บที่หัวใจ... และหลายๆ คน (รวมถึงผมด้วย) ก็มิอาจกลั้นน้ำตาได้...ในทุกๆ ครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบา...

Post#20: การสั่งงานและการตามงาน

Post#20: เคยเจอสถานการณ์ที่สั่งงานไป แล้วลูกน้องเงียบหายไปเลยมั๊ยครับ? พอทวงถามหรือตามงาน ได้รับคำตอบแบบไหนกันบ้าง? 1.ทำหน้างงสุดชีวิต แล้วตอบว่า พี่สั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ ผม/หนู ไม่เห็นรู้เรื่องเลย 2.ทำหน้าโกรธ แล้วตอบว่า งานนั้นก็เร่ง งานนี้ก็ด่วน พี่จะให้ผม/หนู ทำอะไรก่อนแน่ 3.ทำหน้าแหย แล้วตอบว่า แหะๆ ผม/หนู ยังไม่ได้ทำ หรือยังทำไม่ถึงไหนเลย 4.ทำหน้าเศร้า แล้วตอบว่า ผม/หนู ทำไม่เป็น แต่ไม่กล้ามาถาม 5.ทำหน้าขึงขัง แล้วตอบว่า ใกล้เสร็จแล้วพี่ (จริงๆ ยังไม่ได้เริ่ม หรือยังไม่ใกล้ความจริงเลย) แล้วเราทำยังไงต่อ หลังจากได้ยินคำตอบ? คิดว่าคงตอบกันหลากหลาย ต่างคนต่างสไตล์ ก็ว่ากันไป แต่ผมคิดว่า น่าจะป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าจะมานั่งโมโหตอนได้ยินคำตอบ A.ถ้าคิดว่าลูกน้องจะเป็นแบบที่ 1 หลังสั่งงานเสร็จ ควรให้ทวนคำสั่งทุกครั้ง และขอให้ทำ mail สรุปมาส่งเรา B.ถ้าคิดว่าลูกน้องจะเป็นแบบที่ 2 ตอนสั่งงาน บอกเค้าเลย ว่าเราจะขอให้ทำงานไหนก่อน-หลัง C.ถ้าคิดว่าลูกน้องจะเป็นแบบที่ 3 ต้องคอยถามเป็นระยะๆ อย่ารอใกล้ๆ ค่อยตามงาน D.ถ้าคิดว่าลูกน้องจะเป็นแบบที่ 4 ควรสั่งงานเป็นขั้นๆ ค่...

Post#19: รัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย

Post#19: ช่วงไตรมาสสุดท้ายทีไร มักจะได้ยินเสียงบ่นมาเข้าหู เรื่องนายสั่งให้รัดเข็มขัด ควบคุมค่าใช้จ่าย ทุกทีไป จริงๆ นายไม่ได้มาสั่งเอาช่วงปลายปีหรอกครับ สั่งมาตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ช่วงปลายๆ ปีนี่ จะมีการเน้นย้ำเป็นพิเศษ ถามว่า ทำไมต้องรัดเข็มขัดด้วย ประหยัดช่วยอะไรบริษัทได้มากขนาดนั้นเลยหรือ? ตอบว่า ช่วยเยอะครับ เพราะประหยัด 1 บาท เท่ากับ กำไรของบริษัท เพิ่มขึ้นทันที 1 บาท ดีกว่าทำยอดขายเยอะ งงมั๊ยครับ อธิบายใหม่เป็นตัวเลขให้เห็นภาพ ถ้าปกติบริษัทขายสินค้า 100 บาท ได้กำไรหลังหักต้นทุนขายแล้ว 10 บาท แปลว่า กำไร 10% กำไร 10% หรือ 10 บาท นี่แหละ ที่บริษัทนำมาใช้จ่าย ทั้งจ่ายเงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจิปาถะ ถ้าปกติ บริษัทมีค่าใช้จ่ายข้างต้นอยู่ 6 บาท แปลว่า หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ก็จะเหลือ 4 บาท ถ้าต้องการกำไรเพิ่มขึ้น 1 บาท บริษัทต้องขายเพิ่ม 10 บาท แต่ถ้าพวกเราช่วยบริษัทประหยัดได้ 1 บาท แปลว่า ค่าใช้จ่ายเหลือ 5 บาท บริษัทก็จะได้กำไรเพิ่มทันที 1 บาท โดยไม่ต้องขายเพิ่ม แบบนี้แล้ว การช่วยบริษัทประหยัด จะไม่สำคัญได้อย่างไร? เพื่อนร่วมงานท่านหนึ่ง ที่ผมรักเสมือนพี่สาว เธอท...

Post#18: งานเสร็จตามกำหนด

Post#18: เคยบ้างมั๊ยครับ รับงานมาแล้วทำไม่เสร็จตามกำหนด? คำว่า "เสร็จตามกำหนด" นี่ตีความได้ค่อนข้างหลากหลาย ในมุมของผู้สั่งงาน หมายถึง เสร็จทันกำหนดที่ตกลงกัน และสมบูรณ์เพียงพอที่จะนำไปทำงานต่อ หรือส่งต่อไปยังลำดับชั้นต่อไปได้ ในมุมของผู้ทำงาน หมายถึง ขอให้เสร็จเถอะ ดีหรือไม่ดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่เชื่อว่า คนส่วนใหญ่ จะคำนึงถึงมาตรฐานเรื่องนี้ และกลัวว่าการส่งงานส่งเดชไป ตัวเองจะเสียชื่อ (บางคน ถึงขนาดต้องไปขอร้องนายว่าขอยืดเวลาส่งกันเลยทีเดียว) ส่วนใหญ่เราเป็นแบบไหนกัน? หากนี่เป็นเพียงรายงานเดี่ยวส่งอาจารย์ คงไม่มีใครเดือดร้อนมากนัก อย่างมากเราก็โดนตัดคะแนน หรือส่งงานแย่ๆ ก็ได้คะแนนน้อย แต่ถ้าเป็นรายงานกลุ่ม ไอ้งานที่เราไม่ตั้งใจทำ หรือส่งงานช้า มันดันเป็นเหตุให้คนอื่นแย่ไปด้วยนะสิ เพื่อนอาจไม่พูด แต่โทษสถานเบาก็คือ คราวหน้าก็ไม่ให้อยู่ในกลุ่มด้วย แล้วก็แล้วกันไป หรือโทษสถานหนักก็เลิกคบ ในชีวิตการทำงาน มันยากกว่านั้น ผลจากการทำงานไม่ทันตามกำหนดหรือการเผางานของเราส่งต่อให้เพื่อนร่วมงาน อาจส่งผลเสียใหญ่หลวงตามมา หรือที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ garbage in garbage ...

Post#17: เรื่องยากๆ ของ "ผู้นำ"

Post#17: สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคนที่จะเป็น "ผู้นำ" คือเรื่องอะไร? หลายคนตอบว่า เป็นเรื่องการวางแผน หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องการทำเป้าหมายให้สำเร็จ จะว่าไปก็ถูก ไม่ว่าเรื่องอะไรคนนำทีมก็รู้สึกว่า หลากเรื่องหลายมุม มันน่าหนักอกหนักใจไปซะทั้งนั้น จะขยับอะไรที ก็ติดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ คิดแล้วกลุ้ม ถามว่า ทำไม? ตอบว่า เพราะการเป็น "ผู้นำ" เกี่ยวพันกับเรื่อง "ความสัมพันธ์" เป็นส่วนมาก ความสัมพันธ์ที่ว่า ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะทีมเดียวกัน หรือต่างทีม สรุปให้ง่ายๆ คนที่เป็น "ผู้นำ" นั้น ในชีวิตการทำงาน จะปวดหัวมากหน่อยกับเรื่อง 2 เรื่อง 1.จะนำทีมไปข้างหน้ายังไง ให้แต่ละคนในทีมงานสอดประสานกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ไม่ไปคนละทิศคนละทาง 2.จะใช้ทรัพยากรของบริษัทอย่างไรให้สามารถแสดงประสิทธิภาพและประสิทธิผลได้เหมาะสมที่สุด ทรัพยากรที่ว่า ไม่ได้หมายถึงวัตถุอย่างเดียว หากแต่หมายถึง "คน" "เงิน" และ "เวลา" ทั้ง 2 เรื่องนี้ อ่านเผินๆ เหมือนจะเป็นคนละเรื่อง แท้จริงแล้ว มีปัจจัยร่วมที่สำคัญ นั่นคือ "ค...

Post#16: การตัดสินใจหน้างาน

Post#16: เวลาที่เกิดสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจฉับพลันทันที เราทำอย่างไร? ประเด็นพิจารณาก็คือ 1.เราอยู่ในฐานะอะไร? (เราอยู่ในฐานะคนสั่งการ หรือเราอยู่ในฐานะคนปฏิบัติตามคำสั่ง) 2.เราอยู่ในพื้นที่ที่เกิดสถานการณ์หรือไม่ (เราอยู่ในพื้นที่ - ที่เราเรียกกันว่า "หน้างาน" หรือเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่) 3.คนสั่งการและผู้รับคำสั่ง อยู่ในพื้นที่พร้อมกันหรือไม่ (อยู่ด้วยกัน หรืออยู่คนละพื้นที่) ถ้าเราเป็นผู้สั่งงานอยู่ที่หน้างานและผู้ปฏิบัติอยู่กับเรา ส่วนมากไม่เป็นปัญหา เพราะสื่อสารกันตรง ส่วนใหญ่ ปัญหาจะเกิดจากประเด็นพิจารณาที่ 3 คือคนสั่งกับคนทำ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วจะยึดใครเป็นหลัก? ตอบว่า ยึดคนที่อยู่หน้างานเป็นหลัก ถามว่า ทำไม? ก็เพราะผู้อยู่หน้างานเป็นผู้เห็นสถานการณ์จริง เราจึงต้องเชื่อผู้ที่อยู่หน้างาน คนที่ไม่อยู่หน้างาน ไม่น่าจะเข้าใจสภาพการณ์ดีกว่า แม้ว่าจะช่ำชองหรือเชี่ยวชาญพื้นที่สักเท่าไรก็ตาม ปกติ ถ้านายเป็นผู้อยู่หน้างาน แล้วขอความช่วยเหลือจากลูกน้อง มักจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าจะมีปัญหาขึ้นมา มักเกิดจากลูกน้องตีความคำสั่งไปเอง เข้าใจไปเอง (น่าเสียดาย ที่ต้อง...

Post#15: ชื่นชมความงามแห่งชีวิต

Post#15: ช่วงก่อนหน้านี้ ผมโดนลูกสาวงอนบ่อยๆ บ่อยจนทำให้ผมต้องทบทวนตัวเอง คนเราทำงานไปเพื่ออะไร? แน่นอน ว่าเพื่อหาเลี้ยงชีพ หาเลี้ยงครอบครัว ผมเองก็ตอบลูกสาวแบบนี้ แต่เมื่อลูกสาวถามคำถามต่อ ผมถึงกับอับจนคำพูด ลองมาฟัง (อ่าน) บทสนทนาของผมกับลูกสาวกันครับ ลูกสาว: ป๊า พรุ่งนี้ (วันเสาร์) ไปดูหนูเรียนบัลเล่ต์มั๊ยคะ? ผม: ป๊าไม่ว่างลูก ต้องไปทำงาน ลูกสาว: ทำไมป๊าต้องทำงานทุกวันเลย วันอื่นก็กลับดึก ผม: อ้าว ก็ป๊าทำงานหาเงินมาให้หนูไงลูก ลูกสาว: หาเงินมาทำไมคะ ป๊าไปกดที่ตู้ก็มีเงินแล้ว (ลูกสาว หมายถึง กดตู้ ATM) ผม: (หัวเราะ) ต้องทำงานก่อนลูก ถึงจะมีเงินไปเติมในตู้ เวลาจะใช้เงินจะได้ไปกดมาได้ ป๊าไปทำงาน หนูจะได้มีเงินใช้ มีเงินซื้อของเล่นไงลูก ลูกสาว: แล้วเมื่อไหร่ ป๊าจะได้หยุดอยู่บ้าน จะได้ไปดูหนูเต้นบัลเล่ต์ ผม: เอาไว้ก่อนลูก ป๊างานยุ่ง ลูกสาว: ป๊าก็พูดแบบนี้ทุกที กว่าจะไม่ยุ่ง หนูเรียนบัลเล่ต์จบกันพอดี (ว่าแล้ว ลูกสาวก็งอน) ผม: ... นั่นสิ แล้วเมื่อไหร่ผมจะว่าง? ลูกไม่ได้อยากมีเงิน แท้จริงแล้วยังไม่รู้จักเรื่องราวของเงินด้วยซ้ำ เรามักเอาความคิดของผู้ใหญ่ไปคิด...

Post#14: ขงจื๊อ

Post#14: ขงจื๊อ มีเพื่อนอาวุโสท่านหนึ่งแนะนำให้อ่านหนังสือ "ขงจื๊อ คุณครูผู้เป็นที่รัก" (โดย สำนักพิมพ์บุ๊คสไมล์ น่าจะมีขายในร้าน 7-Eleven) อ่านแล้วแทบวางไม่ลง และได้แต่ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่ดีมากเล่มหนึ่งในชีวิต ผมจะไม่ขอเล่าถึงเนื้อหา ท่านที่สนใจต้องลองหาอ่านดู รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง ไม่น่าเบื่ออย่างหนังสืออัตชีวประวัติทั่วๆ ไป มีตอนหนึ่งที่ผมชอบมาก โดยเนื้อหาสรุปประมาณว่า ไม่ใช่มีความรู้ก็เพียงพอ ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้เป็น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ สมัยเด็กๆ เราเรียนนับเลข นับหนึ่ง สอง สาม เรื่อยไปจนกระทั่งนับถึงหนึ่งร้อย ถามว่า มีครูโรงเรียนไหนสอนเรานับทีละตัวๆ ไปจนกระทั่งหนึ่งพันบ้าง? หรือกระทั่งเราเรียนบวก ลบ คูณ หาร ไม่มีทางที่ครูจะสอนเราทำโจทย์ทุกข้อให้เราจำทั้งหมด ครูจะสอนแค่ว่า เมื่อบวกต้องเพิ่มขึ้น เมื่อลบต้องลดลง ฯลฯ นั่นละครับ ที่เรียกว่า สอนหลักการและวิธีคิด เมื่อได้หลักการและวิธีคิดแล้ว เมื่อใดที่มีโจทย์คณิตศาสตร์มาให้แก้ (ถ้ายังอยู่บนพื้นฐานและหลักการเดิม) ย่อมไม่ยากที่เราจะแก้โจทย์ได้ เช่นให้นับหนึ่งถึงหนึ่งหมื่น เราก็นับได้ (ไม่ต้องลองนะครั...

Post#13: งานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่หน้าที่เรา

Post#13: เชื่อว่า ทุกคนคงเจอสถานการณ์ที่ได้รับมอบหมายงานที่ไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของตัวเองกันมาบ้าง ถ้างานนั้นไม่ใช่งานของเรา แต่นายเป็นคนมอบหมายให้ทำ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว คนที่ควรต้องรับผิดชอบก็นั่งอยู่ด้วย (ตอนนายสั่งงาน) แล้วเราตอบรับกับสถานการณ์แบบนี้ อย่างไร? ค่อนข้างซับซ้อน ถ้าเจ้าของงานตัวจริง ไม่ได้มีความผิดอะไรค้างอยู่กับงานนั้นๆ หรือนายอาจลืมจริงๆ รับรองว่า เจ้าของงานต้องทักท้วง แต่ถ้าเจ้าของงานนิ่ง เป็นอันรู้กันว่า ต้องมีประเด็นอะไรเกิดขึ้นแล้ว ขอให้เรารับงานแต่โดยดี ถ้าพาซื่อไปตอบปฏิเสธงาน บอกว่าไม่ใช่เป็นงานของผมหรือฉัน คงเสียคะแนนพอดู หลังนายมอบหมายงานเสร็จ ควรถามไถ่กันนอกรอบ ถ้าถามเจ้าของงานตัวจริงแล้วมีปฏิกิริยาแปลกๆ ก็อย่าไปเซ้าซี้ ไปถามนายดีกว่า ระหว่างทำงาน ถ้าเจ้าของงานคิดได้ มาถามไถ่ ก็ควรให้มามีส่วนร่วมในงานได้ อ่านให้ดี มามีส่วนร่วมในงาน ไม่ใช่ยกงานคืนไป เพราะไม่ว่า งานจะเสร็จหรือไม่ เราจะโดนตำหนิว่าทิ้งงาน หรือทำนอกคำสั่ง ถ้าให้ดี ก็ช่วยกันทำกับเจ้าของงานให้เสร็จ เป็นดีที่สุด แต่ถ้าเจ้าของงานไม่มาถามไถ่ ก็อย่าไปมัวเกี่ยงงานอยู่ ถ้าเราไม่รู...

Post#12: เข้าใจนาย, ราชสีห์กับหนู

Post#12: บางครั้งนายก็มีภาระมากมายจนเกินกว่าเราจะจินตนาการไปถึง ด้วยความเป็นนาย บางครั้งก็ไม่สามารถแสดงความหนักใจหรือความกังวลให้ลูกน้องเห็นได้ เพราะกลัวลูกน้องจะเสียกำลังใจ ปฏิกิริยาที่นายแสดงออกต่อสถานการณ์ต่างๆ ก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและนิสัยของนายแต่ละคน แล้วเราในฐานะลูกน้อง จะช่วยนายยังไงดี? คงต้องวิเคราะห์ก่อน ว่าปัญหานั้น เราช่วยนายได้มั๊ย ถ้าช่วยได้ เราไม่ควรดูดาย เพราะวันหนึ่งเมื่อเราเป็นนาย เราคงจะดีใจถ้าลูกน้องไม่ดูดาย ขันอาสามาช่วยเรา ถ้าปัญหานั้นเกินแรงหรือขีดความสามารถของเรา อย่าลืมให้กำลังใจนายเล็กๆ น้อยๆ (อย่างจริงใจ และเกิดจากความรู้สึกจริงๆ ไม่ใช่การประจบสอพลอ) หรือเพียงแค่คอยรับฟังนายบ่น ก็ช่วยนายได้เยอะแล้ว แม้ภายนอก นายจะแสดงท่าว่า ok แค่ไหน แต่มั่นใจได้เลยว่า ไม่มีใครรังเกียจความห่วงใยจากผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเป็นความห่วงใยจากลูกน้องของตัวเอง สำคัญว่า เราได้ยินในสิ่งที่นายไม่ได้พูดหรือไม่เท่านั้น ใครจะไปรู้ เราอาจได้รับประสบการณ์ "ราชสีห์กับหนู" ก็ได้ เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจะเข้าใจมากขึ้น คำกล่าวที่ว่า "ยิ่งสูงยิ...

Post#11: ถูกต้อง vs ถูกใจ

Post#11: ในการทำงานแต่ละวัน บางครั้งเราจะต้องเจอทางแยกในการตัดสินใจที่ยากลำบาก หลายๆ คนคงเจอสถานการณ์แบบนี้ 1.ทำตามใจนาย แม้ใครๆ ก็รู้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง 2.ทำตามสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ว่าถูกต้อง แต่ขัดใจนาย ออกตัวไว้ก่อน ว่าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมหรือกฎหมายนะครับ อาจจะเป็นประเด็นเรื่องมุมมองมากกว่า เป็นเรา เราจะเลือกแบบไหน? ตอบแบบหัวอกคนทำงาน ต้องเลือกข้อ 1 แต่ผมขอให้เพิ่มว่า เราในฐานะลูกจ้างมืออาชีพ ต้องแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ความรู้สึก (เลือกจังหวะและโอกาสดีๆ อย่าไปหักหน้านายนะครับ) ถ้าโชคดีนายฟัง เราจะได้ทำข้อ 2 แต่ถ้านายยังยืนยันจะให้ทำข้อ 1 (อาจจะด้วยเหตุผลบางอย่างที่นายอาจบอกเราไม่ได้) อย่างน้อยนายจะได้ทดไว้ว่า เราได้ทำหน้าที่ลูกน้องที่ดีแล้ว ขอให้เจอเจ้านายที่น่ารัก (เลือกทำในสิ่งที่ถูก) และมีลูกน้องที่รักเรา (กล้าทักท้วงในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง) กันทุกคนนะครับ

Post#4-089: Pass-i-on

Post#4-089: ใน The Cocoon of Thoughts นั้น เราคุยกันเรื่อง Passion กันบ่อยมาก...บ่อยแบบที่เรียกว่าเป็น "หัวข้อพูดคุยยอดนิยม" ของผมเลยก็ว่าได้ เพราะโดยส่วนตัว ผมเชื่อสุดหัวจิตหัวใจว่า คนเราจะทำอะไรได้ดี จะต้องมี Passion เป็นแรงขับ Passion นั้น ก็ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิต เพราะมันก่อกำเนิดมาจาก "ความชอบ" และพัฒนาจนกลายเป็น "ความหลงใหล" ในที่สุด ... เมื่อ Passion ในเรื่องใดๆ ของเรามากพอ...มันจะยกระดับไปเป็น "ความฝันที่มีชีวิต" ที่ผมบอกว่า มันมีชีวิต ก็เพราะมันสามารถเติบโตไปเป็นความจริงก็ได้ หรือดับสูญเพราะเรามัวแต่ฝันอยู่อย่างนั้นก็ได้ มันจึงอยู่ที่เราจริงๆ ว่า...จะปล่อยให้ Passion เป็นแค่ความฝัน หรือจะลงมือทำให้มันกลายเป็นความจริง ... แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ลงมือทำแล้วจะประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก...แต่ก็ต้องไม่ลืมเช่นกัน ว่าหนทางสู่ความสำเร็จไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ และบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายในโลก...ต่างก็ล้มเหลวมาก่อนมากต่อมากครั้ง กว่าจะได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด ผมบอกตัวเองว่า "จงคิดและเชื่อว่า ก็เพรา...

Post#4-088: ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ

Post#4-088: เอาจริงๆ ผมไม่รู้เลยว่า ประชากรส่วนใหญ่บนโลกนี้ มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอยู่กี่ % กันแน่ ประเมินเอาเอง...ก็เดาเอาว่า แม้จะมีอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าจะเป็นส่วนใหญ่ของโลก สรุปมั่วๆ หน่อย...ว่าทุกวันนี้ เราต่างก็ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกอย่าง...มั๊งครับ? ... ไม่รู้จะปรัชญาไปหน่อยมั๊ย...แต่ผมคิดว่า การที่เราต่างก็มีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบ นั่นแหละคือ ความสมบูรณ์แบบ ก็เพราะแต่ละคนในครอบครัวของเรา ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจเรา และเราเองก็ไม่อาจเป็นได้ดั่งใจเค้าแบบ 100% เช่นกัน นั่นไง...ที่ทำให้เราต่างก็มีโอกาสปรับตัวเข้าหากันและกัน, ได้เรียนรู้ที่จะลดหรือเพิ่ม เพื่อให้ตัวเราและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ตามสมควร ถ้าเราเข้าใจว่า เราไม่อาจจะเป็นดั่งใจใครในครอบครัวได้ 100%...ก็แล้วทำไมถึงจะอยากให้คนอื่นในครอบครัวเป็นอย่างใจเรา 100% ให้ได้? ... สำหรับผมแล้ว...ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอาจไม่มีอยู่จริงในโลก แต่ครอบครัวที่ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของกันและกันต่างหาก...ที่ไม่ว่าใครก็ตาม ก็อาจจะมีโอกาส "มี" ได้ มันก็อยู่ที่ว่า เราเลือกมองส่ว...

Post#4-087: คนไทยรักในหลวง

Post#4-087: ผมเชื่อว่า ไม่มีแผ่นดินใดในโลกนี้ ที่พสกนิกรจะมีความเคารพรักและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ได้มากเท่ากับประเทศไทยของเรา ด้วยเพราะแต่ครั้งโบราณมา นับตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัย, อยุธยา, ธนบุรี จนกระทั่งกรุงเทพฯ...พวกเราต่างมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจและหลักชัยที่นำพาราชอาณาจักรของคนไทย ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ได้เสมอมา และคงเพราะด้วยเหตุนี้ พวกเราส่วนใหญ่จึงมีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อยู่ในสายเลือด และคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปตราบเท่าที่ยังมีประเทศไทยอยู่บนแผนที่โลก ... นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระบรมโกศ เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมา...องค์พระยุพราช ก็ได้สืบทอดบัลลังก์แล้ว ตามโบราณราชประเพณี เหลือก็แต่เพียง ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น ก็จะทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยสมบูรณ์ตามโบราณราชพิธี ซึ่งการที่ทรงมีพระราชบัณฑูรต่อประธานองคมนตรีและนายกรัฐมนตรี ให้มิต้องเร่งดำเนินการเรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์ตามแบบแผนนั้น... ก็ด้วยเพราะพระองค์ทรงยังอยู่ในช่วงพระโทมนัส ด้วยทรงต้องสูญเสียพระราชบิดา อีกทั้งต้องสูญเสียกษัตริย์...

Post#4-086: That's why we are friends...

Post#4-086: จู่ๆ ผมก็มีอันต้องบินมาสิงคโปร์ด่วนเสียอย่างนั้น โดยรู้ตัวล่วงหน้าแค่ไม่ถึง 2 วัน...และแน่นอนว่าตั๋วเต็มเอี้ยด จนต้องเสียเงินนั่ง Business Class บางทีผมก็รู้สึกว่าตัวเองบ้า...เพราะต้องนั่งเครื่องมา 2 ชั่วโมง บวกกับขากลับอีก 2 ชั่วโมง...เพียงเพื่อมาประชุมกับคู่ค้าเพียงชั่วโมงครึ่ง แต่เรื่องมันจำเป็นต้องบ้า...เพราะนี่เป็นคำขอร้องจากเพื่อน...ที่บอกว่า เค้าต้องการความช่วยเหลือจากผมให้มาร่วมประชุมด้วย เนื่องจากเค้ายังใหม่เหลือเกินสำหรับธุรกิจที่ทำอยู่นี้ ... หลายๆ ครั้งผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน...หันหน้าหรือเหลียวหลัง ก็ไม่รู้จะปรึกษาใครดี...จำความรู้สึกเหมือนตัวเองโดดเดี่ยวได้แม่น ดังนั้น หากเพื่อนผมคนไหนต้องการความช่วยเหลือ และมันไม่พ้นกำลังความสามารถของผม กับไม่ทำให้ผมเดือดร้อนจนเกินไปแล้วล่ะก็...ผมไม่เคยที่จะไม่ช่วยเหลือ และนี่อาจเป็นคำอธิบายได้เป็นอย่างดี...ว่าทำไม คนเราจำเป็นต้องมี "เพื่อน" ... อย่ากังวลไปครับ เพราะไม่มีใครเป็น "เพื่อนที่ดี" ของทุกคนที่เราคบได้ทั้งหมด... บางคนคบเราที่นามสกุล, บางคนคบเราที่ฐานะ และบางคนก็คบเรา...

Post#4-085: วิปัสสนาวินิจฉัย

Post#4-085: เมื่อค่ำวานนี้ พี่ S (ที่ผมเคยเล่าถึงใน Post#3-283) เล่าให้ผมฟังว่า พี่เค้าได้ไปเข้าค่ายวิปัสสนามาถึง 10 วันเต็มๆ สำหรับผม...นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่แน่ใจว่า จะทำได้หรือไม่ กับการที่ต้องตัดขาดจากการรับรู้เรื่องโลกโดยสิ้นเชิงแบบนี้ถึง 10 วันเต็มๆ เป็น 10 วันที่เราต้องอยู่กับตัวเอง...พินิจและพิจารณาถึงอายาตนะภายใน ไม่รับรู้ความเป็นไปประดามี...รู้เพียงเรื่อง "จิต" ของเราเองเท่านั้น ... มานั่งนึกดูดีๆ แล้ว...จนกระทั่งอายุปูนนี้แล้ว ผมก็ยังไม่เคยนั่งสมาธิได้เกินกว่าชั่วโมงเลย...เพราะทุกครั้งที่นั่ง ผมจะถูก "นิวรณ์ 5" เป็นตัวกั้นขวาง โดยเฉพาะ "วิจิกิจฉา" ที่ชวนให้จิตของผมสงสัยเรื่องนั้น แส่ส่ายไปเรื่องนู้น...ให้เป็นที่วุ่นวาย รวมความแล้ว...ก็น่าจะเพราะจิตผมยังไม่มีกำลังที่กล้าแข็งพอที่จะต่อสู้กับขบวนการเซนไตที่ชื่อ "นิวรณ์" นั่นเอง ... ส่วนตัวผมเองรู้ดีว่า "จิต" เป็นเรื่องซับซ้อนและเข้าใจได้ยาก...ยากในระดับที่ไม่ห่างมากนักกับ "อจินไตย" เลยทีเดียว ก็เพราะเรื่องจิตนั้นยาก...การยกระดับจิตให้พ้นจาก "โลก...

Post#4-084: มนุษย์ขั้นกว่า

Post#4-084: หัวค่ำนี้ ผมมีโอกาสมาอุดหนุนเพื่อนรุ่นพี่ (สมมติว่าชื่อพี่ K นะครับ) ที่เปิด Mini Bistro อยู่ที่อาคารอรกานต์ ใกล้ๆ กับ Central ชิดลม เรื่องของเรื่องก็คือแถวนี้หาอะไรทานไม่ง่ายนัก พี่ K ก็เลยให้ศรีภรรยา (สมมติว่าชื่อพี่ T นะครับ) เปิด Mini Bistro เองเสียเลย แต่มาตรฐานระดับพี่ T แล้ว ไม่มีการทำอะไรแบบเล่นๆ...ก็เลยทำให้ Mini Bistro ที่ว่านี้ กลายเป็น Mini Bistro ที่มีความ chic ในระดับสูง เอาจริงๆ แบบไม่แกล้งยอ...ตั้งแต่รู้จักพี่ K กับพี่ T มา...ผมก็เคยเห็นพี่เค้าทำอะไรลวกๆ เลย...ไม่ว่าจะทำอะไร คู่นี้เค้าทำเต็มที่เสมอ ... นี่เป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง และเราน่าจะเลียนแบบเป็นอย่างยิ่งครับ...คือทำอะไรก็ทำแบบ "เต็มที่" โดยมีเป้าหมายคือต้องส่งมอบ "ผลลัพธ์" ที่สุดยอดที่สุด...เสมอ เท่าที่ผมประสบมา...ใครที่ทำอะไรแบบครึ่งๆ กลางๆ...สุดท้ายแล้ว ก็จะจบแบบครึ่งๆ กลางๆ...ซึ่งหมายถึง เราก็เป็นได้แค่ "มนุษย์ค่าเฉลี่ย" ก็ในเมื่อในโลกนี้ มี "มนุษย์ค่าเฉลี่ย" เป็นประชากรส่วนใหญ่...เราจึงมิอาจจะประสบความสำเร็จได้ หากว่าเรากลายเป็นสมาชิกถาวรในกล...

Post#4-083: อย่าแก้ตัวจนเป็นนิสัยถาวร

Post#4-083: จำได้ว่า ผมเคยคุยให้ฟังไปหลายครั้งมากๆ ว่า หากเราต้องการพัฒนาและก้าวหน้า เราจำต้องรู้จัก "ชี้เข้าอย่าชี้ออก" และผมมั่นใจว่า คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเป็นแน่ หากผมจะสรุปว่า ตราบใดที่เราไม่รู้จักการ "ชี้เข้า" ให้มากกว่า "ชี้ออก"...ก็แปลได้ว่า เรายังไม่อาจขึ้นชั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงได้ ทำใจไว้นิดเถอะครับ...ว่าเราจะได้เจอคนที่ "มักจะ" ชี้ออก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ... การชี้ออกก็ไม่ต่างจากการหาข้อแก้ตัว ซึ่งก็อาจจะเป็นการช่วยให้เราพอจะ "รอดตัว" ไปได้บ้าง...แต่ไม่ใช่ทุกครั้งแน่ๆ เพราะไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด...แปลว่า ไม่มีใครมาเชื่อเราหรอกครับ ว่าความผิดที่เกิดขึ้น จะมาจากเหตุอื่นหรือคนอื่น ทุกครั้งไป และหากผิดเรื่องเดิมซ้ำๆ...ผมว่าเราก็คงจะ "หน้าด้าน" ไปหน่อย ที่จะมัวโทษชาวบ้านชาวช่อง โดยไม่รู้จักพิจารณาตัวเอง ... คราวนี้ เราจะรู้ได้ยังไงกันหนอ ว่ากำลัง "ชี้ออก" แบบไร้ยางอายเกินไปแล้ว? ของแบบนี้ ผมเองก็จนปัญญาที่จะ "ฟันธง" ล่ะครับ...เพราะความจริงนั้น มีเพียงหนึ่งเดียว และมี...

Post#4-082: เสียชาติเกิดมั๊ยนะ?

Post#4-082: ชะรอยคงเป็นเพราะผมมีเวลาว่างระหว่างลอยอยู่บนท้องฟ้ามากจนเกินไปกระมังครับ...จู่ๆ ผมก็คิดถึงเรื่องราวของชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถือเสียว่า อ่านกันเพลินๆ คุยกันขำๆ ก็แล้วกันนะครับ... ถ้าสมมติว่า อายุขัยเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 75 ปี โดยประมาณ...นั่นก็แปลว่า เรามีเวลาอยู่บนโลกแต่ 27,375 วัน เท่านั้นเอง ไม่มีทางเลือกที่จะต้องหักเวลานอนออกไปเสีย 1/3 ก็แปลว่า เวลาหายวับไปในพริบตาถึง 9,125 วัน...ไม่เป็นไรน่า...ยังเหลืออีก 18,250 วัน งั้นไปต่อนะครับ...หักเวลาช่วงวัยเด็ก ที่เราไม่สามารถดูแลชีวิตตัวเองได้ ไปอีก 3,650 วัน (นี่คือเทพแล้วนะครับ เพราะแปลว่าเราเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี) เหลือเท่าไหร่แล้วนะ?...ยังครับ ยังหักไปไม่พอ...ว่าแล้ว ก็มาหักกันต่อ แต่ผมจะหักแบบหยวนๆ ก็แล้วกัน รถติดอยู่บนท้องถนน หักไปวันละ 2 ชั่วโมง, หักเวลากินข้าว วันละ 2 ชั่วโมง, เวลาเข้าห้องน้ำ วันละ 2 ชั่วโมง...พอก่อนละกันครับ ก็สรุปได้ว่า หายไปอีก 5,475 วัน (นี่ผมคิดเฉพาะเกินอายุ 15 มาแล้วเท่านั้นนะครับ...ก็บอกแล้วว่าหักแบบหยวนๆ) เอาล่ะ...ตกลง เราเหลือเวลาที่จะทำอะไรต่อมิอะไรแค่ไหนกันแน่นะ?...

Post#4-081: Japanese Standard

Post#4-081: ผมเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลคราวนี้ เพราะมีภารกิจต้องมาประชุมกับชาวญี่ปุ่นถึงกรุงโตเกียว ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับผมอยู่เหมือนกัน...เพราะผมไม่ค่อยมีโอกาสได้เจรจาธุรกิจกับชาวญี่ปุ่นบ่อยนัก สำหรับผม "ญี่ปุ่น" มีไว้เที่ยวเสียล่ะมากกว่า ... ในช่วงยี่สิบปีมานี้ ผมเดินทางบ่อยมาก...บ่อยเสียจนผมเบื่อ...แต่ "ญี่ปุ่น" เป็นหนึ่งในน้อยประเทศเหลือเกิน ที่ผมไม่เคยเบื่อหรือคิดจะปฏิเสธที่จะกลับมา คิดว่า ก็คงเช่นเดียวกับคนไทยหลายๆ ล้านคน ที่ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น...ผมเองก็ชอบอะไรหลายๆ อย่างของญี่ปุ่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหาร, การ์ตูน, ของเล่น, เทคโนโลยี, วัฒนธรรม รวมไปถึงนิสัยในการทำงานของคนญี่ปุ่น ... ผมชอบในความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทในการทำงานของชาวอาทิตย์อุทัย...และเท่าที่ผมสังเกต ไม่ว่าพวกเค้าจะทำอาชีพอะไร ก็ล้วนแต่จริงจังและใส่ใจไปเสียทั้งหมด ยกตัวอย่างวันนี้ ผมเดินเข้าร้านขายยา...ผมก็เปิดรูปขวดยาในมือถือดู และเดินวนรอบร้านอยู่ก็หาไม่เจอ ว่าแล้วผมก็เดินไปเพื่อจะถามพนักงานขาย ปรากฏว่า ยังไม่ทันจะอ้าปากถาม พนักงานขายก็หยิบขวดยาให้ทันที...นั่นแปล...

Post#4-080: อิสระภายใต้กรอบที่กำหนด

Post#4-080: ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่นเช้านี้ ผมใช้เวลาในการพูดคุยกับเพื่อนสนิท ถึงเรื่องราวต่างๆ...ตั้งแต่ update ชีวิตทั่วๆ ไป...จนกระทั่งถึงเรื่องวางแผนว่าจะไปเที่ยวไหนด้วยกันดี คุยกันไปคุยกันมา ก็วกมาถึงเรื่องที่ว่า จะมี Project อะไรใหม่ๆ ที่เราน่าจะทำร่วมกันได้ บ้างมั๊ยหนอ? แรกๆ ก็คุยกันแบบฟุ้งๆ...แต่พอคุยไปคุยมาก็ชักจะเข้าเค้าและมีทรง...จนกลายเป็นการคุยกันแบบจริงจัง และลงท้ายด้วยการสุมหัวทำแผนคร่าวๆ ลงบน Laptop นั่นเลย ^^ ... กว่า 20 ปีที่ทำงานมา...ผมพบว่า ส่วนใหญ่ Idea ใหม่ๆ ทางธุรกิจ ก็มักจะแวะมาหายามที่ไม่ได้ตั้งตัวแบบนี้นี่เอง แล้วเป็นเหมือนผมมั๊ยครับ...ที่พอเวลาตั้งใจเค้นสมองแทบตาย...บ่อยครั้งที่กลับไม่ได้อะไรเลย ราวกับว่า สมองกำลังส่งสัญญาณมาเตือนเรา ว่า "อย่ามาบังคับกันนะ...ให้อยู่ในอารมณ์สบายๆ แล้วฉันจะบอกเธอเอง"...ประมาณนั้น ... แต่จริงๆ แล้ว...แบบไหนเป็นวิธีการใช้สมองเพื่อ "ตกผลึกความคิด" อย่างถูกวิธีกันแน่นะ? อย่ากระนั้นเลยครับ...ก็ลองคิดหาเหตุผลกันดูสักหน่อย ดีมั๊ยครับ? เอ้า! ผมให้เวลา 10 นาทีเลย ^^ ... ผมเองก็ไม่ทราบว่าคนอื่น...

Post#4-079: Time and Tide wait for no man...

Post#4-079: เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ผมกำลังนั่งงงๆ ทบทวนชีวิตในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา อยู่ที่สนามบินชางกี ที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบที่ผมมี...และให้บังเอิญเป็นงานที่มอบหมายให้ใครไปทำแทนก็ไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้ตารางงานของผมในช่วงปีหลังๆ นั้น แสนจะวุ่นวาย และบ่อยครั้ง ที่มันทำให้ผมต้องบินแบบเช้าไปเย็นกลับ (One Day Trip) ระหว่างเมืองไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์, สิงคโปร์ หรือฮ่องกง...ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แม้ผมจะไม่รังเกียจการเดินทาง...แต่มาเจอ One Day Trip บ่อยๆ แบบนี้...ก็ทำเอาเหนื่อยไม่น้อยเลยทีเดียว ... แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่า One Day Trip จะมีแต่ข้อเสียเพียงเท่านั้น...แท้จริงแล้ว ผมพบว่า มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน ข้อดีก็คือ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมได้ชัดเจนว่า หากเราไม่คิดจะหยุดนิ่งแล้วไซร้ เวลาหนึ่งวันก็มากพอที่เราจะใช้พาตัวเองไปได้ไกลกว่าที่คิด เช่นวันนี้ ที่ผมไม่มีเวลามามัวโอ้เอ้หรือเอ้อระเหยลอยชายอยู่...จึงทำให้สามารถคุมการประชุมให้มีข้อสรุปได้ในเวลาที่กำหนด...ทั้งที่มันเป็นหัวข้อการประชุมที่หนักหนาและสำคัญขนาดที่ต้...

Post#4-078: ตั้งเป้าหมายการขาย

Post#4-078: ช่วงเช้าที่ผ่านมา ผมประชุมค่อนข้างเคร่งเครียดกับทีมขาย เพื่อหารือเกี่ยวกับเป้าหมายการขายปีหน้า พูดกันตรงๆ ก็ต้องบอกว่า เป้าหมายการขาย ถือเป็นเป้าหมายที่องค์กรที่แสวงหาผลกำไรทุกองค์กร ให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ถ้ากำหนดเป้าหมายการขายผิด...นั่นหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ตามมา ก็มีหวังผิดตามไปด้วยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผนการผลิต, แผนการสั่งซื้อ, แผนการตลาด, การวางแผนงบประมาณ และแผนอื่นๆ ที่เหลือ เรียกว่า ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็พาลทำให้ติดเม็ดอื่นผิดตามไปด้วยทั้งหมด นั่นเลย ... การจะมั่นใจได้ว่า เป้าหมายการขาย ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปของการตั้งเป้าที่ว่า ดังนั้น ทีมขายจะต้องนำเสนอได้ว่า ยอดขายจะเติบโตได้จากจุดไหน, อย่างไร และเมื่อไหร่ ถ้าอธิบายไม่ได้โดยละเอียด ก็แปลว่า "มั่ว" และถ้า "มั่ว" ตั้งแต่เริ่มต้น...คงไม่ต้องบอกใช่มั๊ยครับ ว่าปลายทางจะเละเทะไปได้ถึงขนาดไหน? ... ใครที่มีหน้าที่ตั้งเป้าหมายการขาย จึงจำต้องระลึกไว้เสมอว่า เป้าหมายการขาย จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความทะเยอทะยาน, ความเป็นไปได้ และความมั่นใจ ทีมขายที่ตั้งเป้าแบบถ...

Post#4-077: อย่าอยู่เฉยโดยไม่ออกหมัด

Post#4-077: เที่ยงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปทานข้าวกับลูกน้องคนหนึ่ง...ซึ่งทำงานด้วยกันมานานหลายปี ตอนหนึ่งของการสนทนา เราก็คุยกันเรื่อง ทำยังไงถึงจะทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่ เติบโตไปได้ด้วยดี ด้วยเพราะช่วงนี้ เป็นช่วงที่คาดเดาภาพรวมของเศรษฐกิจได้ยาก รวมไปถึงคาดเดาพฤติกรรมการจับจ่ายของลูกค้าได้ไม่ง่ายเลยเช่นกัน ... เมื่อภาพรวมของตลาดยังคงคลุมเครือ...มีไม่กี่ทางที่เราจะอยู่รอด...ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การทำให้เราเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของลูกค้า หลายๆ บริษัทฯ มักจะบอกว่า เราต้องมีทั้งสินค้าที่ดีและบริการที่เด่น จึงจะทำให้เราเป็นตัวเลือกที่ว่าได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ลูกค้าจะสัมผัสสินค้าที่ดีมีคุณภาพได้ชัดเจน แต่จะมีกี่ร้านค้าที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างโดดเด่นเป็นรูปธรรม จนลูกค้าสัมผัสความแตกต่างนั้นได้? แปลว่า การเน้นเรื่องบริการนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการ "สร้าง" ไม่น้อยเลย ... ดังนั้น จึงต้องยอมรับว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนั้น...หลายๆ ร้านค้า ต่างมักจะนิยมเลือกใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นตัวดึงดูดให้ลูกค้ายอมควักกระเป๋า ถามว่า ผิดมั๊ย...ผมเองก็ตอบไม่ได...